การดีท็อกซ์ (Detox) ย่อมาจากคำว่า Detoxification ซึ่งหมายถึง การขับของเสียออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสารพิษ โลหะหนัก สิ่งตกค้างในร่างกาย รวมถึงเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ปกติร่างกายเราก็จะมีการขับของเสียเหล่านี้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ทั้งในรูปก๊าซ ของเหลว และของแข็ง โดยของเสียที่เป็นก๊าซ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ก็จะขับออกทางจมูกตอนเราหายใจออก ส่วนของเหลวนั้นมักขับออกมาทางผิวหนังและทางเดินปัสสาวะ โดยการกำจัดของน้ำและเกลือแร่ส่วนเกินผ่านทางผิวหนังออกมาในรูปของเหงื่อ ถ้าเป็นของเหลวที่ผ่านการกรองจากไตก็จะขับออกมาในรูปของปัสสาวะ ส่วนของเสียที่เป็นของแข็งที่ผ่านการดูดซึมจากลำไส้ไปแล้วก็จะขับออกมาในรูปของอุจจาระ เป็นต้น
พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จาก Addlife Check-Up Center ชั้น 2 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ได้ให้ข้อมูลเรื่องการดีท็อกซ์เพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าร่างกายเราจะมีการกำจัดของเสียเป็นประจำ แต่ก็จะมีของเสียบางส่วนที่สะสมและคงค้างในร่างกายเราอยู่ เช่น ในลำไส้ หลอดเลือด ตับ เป็นต้น เมื่อนานวันเข้าก็เกิดความเป็นพิษจนก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเราได้ โดยร่างกายอาจจะแสดงออกมาในรูปของการอ่อนเพลีย ความจำแย่ลง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ภูมิต้านทานต่ำ จนในที่สุดอาจนำไปสู่การเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดในสมอง โรคสมองเสื่อม และร้ายแรงที่สุดคือโรคมะเร็งนั่นเอง
ซึ่งการดีท็อกซ์ที่นิยมใช้กันมี 3 วิธี ได้แก่ ทางการรับประทาน ทางหลอดเลือด ทางทวารหนัก
โดยเราจะให้สารที่มีคุณสมบัติในการจับกับสารพิษและโลหะหนักเข้าไป เช่น EDTA หรือ DMSAจากนั้นร่างกายก็จะขับออกมาทางช่องทางต่างๆ เช่น เหงื่อ ปัสสาวะ อุจจาระ เป็นต้น เมื่อร่างกายได้รับการดีท็อกซ์ หรือกำจัดสารพิษก็จะก่อให้เกิดผลดีในหลายแง่ด้วยกัน ได้แก่
- ช่วยลดสารอนุมูลอิสระ
- ลดการอักเสบบริเวณต่างๆ ของร่างกาย
- ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวและยืดหยุ่นได้ดียิ่งขึ้น
- ลดความเสี่ยงของการเกิดสภาวะหัวใจล้มเหลว โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
นอกจากการดีท็อกซ์แล้วยังมีอีกวิธีที่เรียกว่า การสวนล้างลำไส้ใหญ่ (Colon Hydrotherapy) ซึ่งก็นับเป็นการกำจัดของเสียออกจากร่างกายในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยการที่ใช้อุปกรณ์พิเศษในการปั๊มน้ำอุ่นบริสุทธิ์ที่ควบคุมความดันเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ของคุณเพื่อกำจัดแบคทีเรียและยีสต์ที่ไม่ดีสารพิษไบโอฟิล์มและของเสียออกจากลำไส้ของคุณ โดยการสวนล้างที่ดีควรเป็นแบบ “ระบบปิด” หมายความว่าอุจจาระผ่านจากลำไส้ใหญ่ของคุณโดยตรงผ่านท่อที่ผ่านการฆ่าเชื้อไปยังระบบบำบัดน้ำเสีย โดยไม่ปนเปื้อนหรือสัมผัสกับอากาศภายนอก
ถ้าถามว่าทำไมต้องสวนล้างลำไส้ ในเมื่อร่างกายเรามีการขับของเสียในรูปของอุจจาระอยู่แล้ว หมอต้องขออธิบายสั้นๆก่อนว่า นอกจากลำไส้จะประกอบไปด้วยกากอาหารที่ผ่านการดูดซึมแล้ว ยังเป็นแหล่งสะสมของเสียต่างๆ รวมถึงเชื้อจุลินทรีย์ทั้งที่มีประโยชน์และมีโทษที่ตกค้างในลำไส้ของเรา แบคทีเรียที่ไม่ดีนั้นถ้าเกิดมีมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า เยื่อบุผนังลำไส้รั่วซึม (Leaky Gut) ซึ่งจะเกี่ยวข้องการเพิ่มการอักเสบ ภูมิคุ้มกันต่ำ โรคภูมิแพ้ โรคอ้วน ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า ลำไส้อักเสบ ท้องอืด ท้องผูกได้ค่ะ ดังนั้น เราจึงควรมีการสวนล้างลำไส้เพื่อกำจัดของเสียและจุลินทรีย์ที่ไม่ดีออกไป นอกจากนี้ควรมีการเติมเชื้อจุลินทรีย์ที่ดี (Probiotics) เข้าไป เพื่อปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยให้ลำไส้แข็งแรง ลดภาวะต่างๆที่เกิดจากเยื่อบุผนังลำไส้รั่วซึม
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราเข้าข่ายเยื่อบุผนังลำไส้รั่วซึม หรือควรได้รับการสวนล้างลำไส้ หรือไม่ อาจสังเกตตัวเองได้ง่ายๆ ว่าเรามีอาการหรือภาวะเหล่านี้หรือไม่ค่ะ
- มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย แสบร้อนอก กรดไหลย้อน
- สิว ผื่นที่ผิวหนัง
- แพ้อาหาร
- ไมเกรน
- อ้วน
- ปวดข้อ
- โรคไซนัสอักเสบ
- ติดเชื้อบ่อย
- วิตกกังวล มีภาวะซึมเศร้า
ถ้าคุณเข้าข่ายสิ่งที่กล่าวมาเช่นนี้ อย่าลังเลที่จะเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินอาหารและตับนะคะ