เปลว สีเงิน
ผมแคะหูรอมา ๓-๔ วัน
ตั้งแต่มีข่าวว่า “นายสกุลธร” น้องนายธนาธร” จะตั้งโต๊ะเคลียร์เรื่อง “สินบน ๒๐ ล้าน” กรณีเช่าที่ดินทรัพย์สินฯ ย่านชิดลม
สกุลธรบอก “เปล่าสินบน”
เขาเป็นเหยื่อ “ถูกหลอก” ตะหาก!
เพราะอย่างนั้นน่ะซี ผมถึงอยากฟังเหตุผลและรายละเอียดของเรื่องราว ว่าจริงๆแล้วมันยังไงกัน ถึงพลาดท่า เสียยี่ห้อลูกแม่สมพร “หนึ่งในยุทธจักร” หมดเลย
แต่จนบัดป่านนี้ ก็ไม่เห็นนายสกุลธรจะแถลงซักที!?
“ความจริง” ไม่ต้องลงตะไบ นั่งปุ๊บ-แถลงปั๊บได้เลย เพราะความจริงคือ “ความคงทน” อะไรที่คงทน ย่อมคงที่
ไม่เลื่อนไถล พูดร้อยครั้ง ตรงกันทั้งร้อยครั้ง ไม่จำเป็นต้องรอลงรักปิดทอง
หนุ่มๆ แน่นๆ อย่างสกุลธร ที่จะ “ผมจำไม่ได้” อย่างธนาธรตอนขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีแน่นอน!
เพราะอย่างนี้ จึงอยากให้เคลียร์สังคมซะให้สิ้นเรื่อง-สิ้นราว อยากเห็นน้องชายของคนที่ประกาศตัวเป็นผู้ตรวจสอบประเทศ จะมาปฏิวัติสังคมใหม่ “มีพื้นที่ยืน” ในสังคมเท่ๆ น่ะ
เรื่องนี้ สกุลธรต้องตามประเด็นให้ดีนะ ผมละ…ห่วงจังเลย อย่านึกว่าเรื่องจบแล้ว โดยตัวเองเป็นแค่พยาน ไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหา
ในคดีที่ศาลติดสินจำคุก เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ และคนนอกอีกคนๆ ละ ๓ ปี ฐานปลอมเอกสารสำนักงานทรัพย์สินฯ เรื่องสิทธิการให้เช่าที่ดิน
กองปราบฯ ผู้ทำคดี เขาเขียนไว้ในสำนวนชัดเจนว่า คดีนี้ แยกสำนวนออกเป็น ๒ ส่วน
คือ ส่วนของสำนวน “ผู้รับสินบน” ที่ฟ้องแล้ว ติดคุกแล้ว และออกจากคุก ด้วยพ้นโทษแล้วทั้ง ๒ คน
ยังเหลือในส่วน “ผู้ให้สินบน”!
ส่วนนี้อยู่ระหว่างกองปราบฯ รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อฟ้องคนติดสินบน และสอบสวนขยายผลสาวไปถึง “ตัวการ” นอกเหนือ ๒ คนที่ติดคุกไปแล้วด้วย
สกุลธรฟังที่อัยการแถลงวันก่อนแล้วใช่มั้ย อัยการก็บอกประเด็นนี้ ว่ากองปราบแยกเป็น ๒ สำนวน
ถ้าไม่เชื่อ ให้แม่สมพรไปถามอัยการดูก็ได้ กับสำนักงานอัยการ แม่สมพรชำนาญเส้นทางไป ช่ำชองอยู่แล้วมิใช่หรือ?
ฉะนั้น ต้องรีบเคลียร์
คนรุ่นใหม่อย่างสกุลธร ยิ่งเป็นน้องธนาธรผู้ตะโกนหาความโปร่งใสด้วยแล้ว ต้องไม่เป็นเสียเอง จริงมั้ย
ถ้าเป็น ไม่แค่เสียคน ถึงขั้นเสียหมาเลยแหละ!
ถ้ายังมืดตื้อว่าไม่รู้จะเคลียร์ในประเด็นไหนบ้าง ผมจะบอกถึงประเด็นคาใจชาวบ้านให้ ว่าเขาอยากฟังสกุลธรเคลียร์ตรงไหนบ้าง
๑.เมื่อบอกเป็นเหยื่อ ไม่ได้ติดสินบน
ถ้าอย่างนั้น เมื่อรู้แล้ว ทำไมไม่แจ้งความหรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หรือเรียกเงิน ๒๐ ล้านคืน?
๒.การวิ่งเต้นเช่าที่ทรัพย์สินฯ ทำในนามบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ใช่มั้ย นั่นคือ ๒๐ ล้านบาท ก็ต้องเป็นเงินของบริษัท?
๓.เป็นธุรกิจบริษัท-เงินบริษัทจ่าย แสดงว่า “คณะกรรมการบริหาร” รับทราบและรู้เห็นตลอด
แล้วเงินสูญไป ๒๐ ล้าน ทำไมบริษัทไม่แสดงความบริสุทธิ์ในการทำธุรกิจ ด้วยการฟ้องร้องเรียกเงินคืน อย่างน้อยก็เป็นหลักฐานทางการเงินของบริษัท?
ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา เปิดช่องให้บุคคลที่อ้างว่าถูกหลอกให้จ่ายใต้โต๊ะหรือเงินสินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือเงินคืนได้อยู่แล้ว
นี่…สกุลธร ต้องเคลียร์ด้วย ……
ไม่งั้นจะซวยไปถึง “กรรมการบริหาร” ของบริษัท ผู้มีอำนาจสั่งจ่าย ผมละห่วงแทน ถ้าเป็นแม่สมพรและคนในครอบครัวละก็ แย่เลย!
๔.สกุลธรต้องติวเข้มกับที่ปรึกษากฎหมายดีๆ หน่อยนะ ถ้าไม่มีใคร “ปิยบุตร” ก็ได้ แต่ระวังหน่อย เห็นติวพี่ชาย สะเด็ดเก้งทุกคดี
คือที่ปรากฏตามคำพิพากษา ที่สกุลธรต้องเคลียร์ให้ดี ก็ในประเด็นที่ว่า
“………….จำเลยทั้งสองร่วมกันเรียกรับเงินงวดแรกจำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) จากนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ และร่วมกันใช้เอกสารราชการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำปลอมขึ้นดังกล่าวตามข้อ 1 และ 2
อ้างต่อนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพื่อให้นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) จัดทำ
แจ้งว่าบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ลงทุนเบื้องต้นและเชิญให้เจ้าหน้าที่ของบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับแผนพัฒนาที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) มีชื่อนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าว
จึงได้จ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) และงวดที่สามอีกจำนวน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน)
รวม 3 งวด จำนวนงินรวมทั้งสิ้น 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ให้แก่จำเลยทั้งสองรับไว้สำหรับตนเอง
เพื่อเป็นการตอบแทน ในการที่จำเลยทั้งสอง จะร่วมกันไปดำเนินการติดต่อประสานงานและนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้รองผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ ตามกฎหมายโดยวิธีอันทุจริตและผิดกฎหมาย…..”
ตรงนี้แหละ สกุลธรเอ้ย….
“ร่วมกันไปดำเนินการติดต่อประสานงานและนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้รองผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์…”
นี่มันคือการ “ติดสินบน” นะ ไม่ใช่ถูกหลอก-ถูกต้ม!
ยิ่งปรากฏว่า เมื่อไม่มีการประชุมตามนัด นายสกุลธร ทวงเอาเงินคืน ก็ได้คืนไปประมาณ ๗ ล้านบาท
ตายแล้ว สกุลธเอ้ย ถูกหลอกไป ๒๐ ล้าน ก็ต้องเอาคืนทั้งหมด ๒๐ ล้านซี
แต่นี่ เพราะอะไร อีก ๑๓ ล้าน นายสกุลธรและบริษัทจึงอมเลือดผู้บริสุทธิ์ ไม่ทวงถามเอาเรื่อง-เอาราว ในทางแสดงให้เห็นว่า “ถูกหลอก-ถูกต้ม” จริงๆ เลย
เคลียร์ให้ดีนะธรน้อย……
ถ้าไม่ดี ระวัง จะหนีไม่พ้น “สมคบ-ร่วมรู้เห็น” ในการนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้……”
เพราะนั่น มัน “ติดสินบน” ชัดๆ!
อะไรก็ตามที ถ้ามีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้น ถ้าทางการเอาจริง “รอดยาก”
เพราะในยุคธุรกรรมไอที ตรวจสอบ “เส้นทางการเงิน” จากต้นทาง ไปรายทาง และปลายทางได้ง่ายมาก เว้นแต่ว่า ๒๐ ล้านนั้น สกุลธรแบกเงินสดเป็นมัดๆ ไปให้คนทั้งสองนั้น
นั่นก็ยังไล่เบี้ยได้ เพียงยุ่งยากนิดนึง!
ฉะนั้น สกุลธร ตั้งการ์ดให้ดี พนักงานสอบสวนหรือป.ป.ง.เขาจะตรวจสอบตั้งแต่บัญชีบริษัทต้นทางเงิน ๒๐ ล้าน ไปถึงบัญชีคนทั้ง ๒
แล้วก็ตรวจต่อ จากบัญชีคนทั้ง ๒ ว่า เมื่อรับ ๒๐ ล้านไปแล้ว ไปจ่ายให้ใครบ้าง อย่างที่ว่า……นำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้รองผู้อำนวยการ….นั่นแหละ
ว่ามีจริง หรือไม่มี!?
นั่นคือ ในสำนวน “ติดสินบน” นี้ นอกจากสกุลธรแล้ว อาจมีหรือไม่มีตัวละคร “ผู้รับสินบน” เพิ่มก็ได้
เท่าที่ฟังตามข่าว ตอน ๒ คนเป็นนักโทษอยู่ในเรือนจำ กองปราบฯ ติดต่อ ขอเข้าไปสอบปากคำในฐานะพยาน
ทั้ง ๒ คนปฏิเสธที่จะให้การ!
และตอนนี้ พ้นโทษแล้ว กองปราบตามตัวมาให้ปากคำ ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ ตามรูปการณ์ ก็คงต้องออกหมายเรียกมาเป็นพยาน
คดีติดสินบน สกุลธรจะรอดหรือไม่รอด ๒ คนนี้ “ชี้เป็น-ชี้ตาย” และจะจบระหว่าง ๓ คนนี้ หรือขยายไปถึง “ผู้รับเงินส่วนหนึ่ง” ด้วยหรือไม่
ก็อยู่ที่ “หลักฐาน” เส้นทางเข้า-ออก ของเงิน และปากคำของพยาน ๒ ปากนี้เป็นหลัก
ปะติด-ปะต่อเรื่องแล้ว ก็ถึงบางอ้อ
ทำมั้ย ขบวนการล้มเจ้าถึง “ล็อกเป้า” ทะลวงสำนักงานทรัพย์สินฯ ชนิดโจ่งแจ้ง-จงใจ?
และทำมั้ย จึงเหมือนแค้นอาฆาตฝังหุ่น ส่งม็อบ ๓ นิ้ว ยกขบวนพุ่งเป้าไปปิดล้อมสำนักงานทรัพย์สินฯ
มันมี hidden agenda อย่างนี้นี่เอง!
