เปลว สีเงิน
๑ ตุลา
“วันขึ้นปีใหม่ข้าราชการ” บรรยากาศ “เลี้ยงรับ-เลี้ยงส่ง” มีให้เห็นต่อเนื่อง
คนอายุ ๖๐ “เกษียณ” ไม่ได้หมายความว่าแก่ “หมดไฟ-หมดสภาพ” ที่จะทำงาน-ทำการ ระบบรัฐจึงปลดระวาง
ความจริง ไม่ใช่ …..
เป็นความแยบคายของผู้วางระบบราชการอย่างหนึ่ง โดยหมุนเวียนทรัพยากรบุคคลใหม่เข้ามา ผันเก่า “กระจายค่า” ออกไปสู่ภาคประชาสังคม
คือคนทำงานจนอายุ ๖๐ เหมือนแบตเตอรี่ ที่ชารต์ไฟต่อเนื่องมา ๓๐-๔๐ ปี
พอไฟเต็ม ระบบราชการก็ถอดปลั๊ก เก็บไว้ใช้ต่อบ้าง กระจายออกสู่ตลาดในสาขาอาชีพต่างๆ ตามถนัดบ้าง
เพราะไฟที่ชาร์ตเต็มนั้น คือ การได้นำทฤษฎีที่เรียนรู้สู่ภาคปฏิบัติจริงคนละหลายสิบปี เรียกว่ารู้ผิด-รู้ถูก จนทฤษฎีตกผลึกเป็นประสบการณ์แล้ว
ฉะนั้น ไม่ต้องใจหาย ชีวิตหลังเกษียณ คือชีวิต “ผลึกเพชร” เป็นชีวิต Part 2 ซึ่งมีอะไรมันๆ ใหม่ๆ ให้เล่น มากกว่าตอน Part 1 เยอะแยะ
ตอน part 1 ต้องง้อให้เขาเลือกเราอย่างเดียว
แต่ตอน Part 2 เขาต้องมาง้อเรา และเราเป็นฝ่ายเล่นตัว ว่าจะไปเป็น “หัวแหวน” ด้วยคุณสมบัติผลึกเพชรให้ใคร?
ที่ว่า “อยู่บ้านเลี้ยงหลาน” เลิกพูดได้แล้ว!
ถ้าไม่มีอะไรทำหลังเกษียณ หรือมี แต่ยังเผื่อเลือก ผมขอแนะนำให้อย่าง
ซื้อลอตเตอรี่ทุกงวด อย่างน้อยงวดละใบ
ชีวิตจะได้มีความหวังตลอดไงล่ะ
ถ้าเกษียณแล้วทำห่อเหี่ยว เซ็ง เอาแต่กอดเข่าเจ่าจุก นั่นก็จะยังไม่แก่ทันที แต่ “เฉาตาย” อาจเป็นได้ทันที!
เพื่อให้เข้าบรรยากาศส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ข้าราชการ เมื่อวาน อ่านข่าวสารที่คุณ Thummanit Phuvasatien โพสต์ไว้ ดีออก อ่านกันดูนะ
Thummanit Phuvasatien
เผอิญผมมีเพื่อนสนิทท่านหนึ่งชื่อ “คุณชัยวัฒน์ ทองคำคูณ” ซึ่งเป็นปลัดกระทรวงคมนาคมสมัยปัจจุบัน
เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กและครอบครัวคุ้นเคยกันมากๆ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ได้กล่าวถึงท่านนายกด้วยเช่นกัน
ผมรู้จักนิสัยของเพื่อนท่านนี้ดี ว่าท่านมีนิสัยซื่อตรง พูดตรง ไม่นิยมการสอพลอ ผมจึงเชื่อสนิทใจว่าข้อความทั้งหมดนี้ เป็นความจริงครับ ว่า
ท่าน “นายกฯประยุทธ์” นี้สมเป็นนายกฯ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 และ รัชกาลที่ 10 ทรงวางพระราชหฤทัยครับ
………………………
เปิดบรรยากาศ “หัวหน้าส่วนราชการเกษียณ”
เผยความในใจถึง “บิ๊กตู่”
บอกใครได้ร่วมงาน-เห็นการทำงานแล้วจะรัก นับถือ และรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของนายกฯที่ชื่อ ”พล.อ.ประยุทธ์”
วันที่ 24 ก.ย. “นายอนุชา บูรพชัยศรี” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยบรรยากาศในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ ครั้งที่ 4/2563 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2563
มีหัวหน้าส่วนราชการในระดับ “ปลัดกระทรวง” และ “หัวหน้าส่วนราชการเกษียณ” ถึง 14 กระทรวง/หน่วยงาน
ซึ่งในที่ประชุม “เลขาธิการ กพ.” ได้เปิดโอกาสให้แต่ละท่านเผยถึงความในใจที่มีต่อนายกรัฐมนตรี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งทุกท่านกล่าวถึงความประทับใจการทำงานและตัวตนที่แท้จริง
ซึ่งผู้ที่มีโอกาสทำงานใกล้ชิดหรือติดตามการทำงานของนายกรัฐมนตรี จะพูดเป็นเสียงเดียวกันถึง ความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน ยึดประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน รวมทั้งน้ำใจและความเอื้ออาทรต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
ยกตัวอย่างผู้บริหารที่เกษียณในปีนี้ เช่น “นายทศพร ศิริสัมพันธ์” เลขาธิการสภาพัฒนาการสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ ได้กล่าวว่า
“ท่านนายกฯ ได้ทำคุณูปการให้กับบ้านเมืองเยอะแยะมากมาย คือการวางวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เอาไว้ให้กับประเทศไทย”
ขณะที่ “นางบุษยา มาทแล็ง” ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวประทับใจในการทำงานด้านต่างประเทศของนายกฯ ว่า
“ ปี 62 ที่ไทยเป็นประธานอาเซียน ท่านนายกฯดูแลสนับสนุนอย่างเต็มที่ ท่านเป็นประธานการประชุมที่เราภาคภูมิใจ รวมทั้งได้รับความชื่นชมจากผู้นำทุกประเทศ โดยมีหนังสือชื่นชมตอบกลับมา
ส่วนการทำงานกับนายกฯ ท่านนี้ ก็รู้สึกสบายใจ เพราะท่านมีความตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
และมีพรหมวิหาร 4 มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทุกองค์กรต้องมี รวมทั้งไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ”
ด้าน “นายปรเมธี วิมลศิริ” ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เผยว่า
“นายกฯ มีเมตตาเอาใจใส่กับลูกน้องอย่างมาก เสียดายที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้เห็น จะเห็นท่านในข่าว ในสื่อ ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของท่าน”
ขณะที่ “นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ” ปลัดกระทรวงคมนาคม เผยว่า
“ตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง ผอ.สนข.และได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม ทราบว่านายกฯ ต้องการให้ผมมาขับเคลื่อนแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมของประเทศไทย
ซึ่งงานก่อสร้างหลายอย่างเกิดจากแผนนี้ เป็นแผนที่เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2558 และสิ้นสุดใน พ.ศ. 2565 เป็นแผน 8 ปี ที่มีความสำคัญทั้งถนน ราง น้ำ อากาศ
ช่วงที่ผมทำหน้าที่นั้น งานทั้งหนักและเหนื่อยมาก แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นท่านนายกฯ ทำงานด้วยความตั้งใจ สิ่งที่เกิดความรู้สึก คือ ผมทำงานหนักน้อยกว่าท่านนายกฯมาก สิ่งที่เหนื่อยที่หนักนั้นกลายเป็นพลังกายพลังใจในการดำเนินงานต่อไป”
ด้าน “นายประเสริฐ บุญเรือง” ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า
“การจัดการเรียนการสอนในยุคโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ท่านนายกฯ เป็นผู้ช่วยเหลือในการทำให้มีช่องโทรทัศน์ DLTV Digital ถึง 17 ช่อง
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเคยขอมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ แต่โควิด-19 ครั้งนี้ ถือว่าท่านนายกฯ มาช่วยให้กระทรวงศึกษาฯ จัดการเรียนการสอนในทีวีได้
นี่คือสิ่งที่ผมประทับใจว่า ท่านมีบารมี และท่านได้ช่วยเหลือกระทรวงศึกษาฯ ให้นักเรียน นักศึกษาจำนวนถึง 10 ล้านคน ได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องในช่วง Lock-down”
ส่วน “นายอนุกูล เจิมมงคล” ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวว่า
“ในวิชาชีพข้าราชการ ท่านนายกรัฐมนตรีถือเป็นแบบอย่างของการเป็นข้าราชการที่ดี มุ่งเน้นการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งในช่วงที่ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นข้าราชการ และในช่วงนี้ที่ท่านเกษียณอายุราชการแล้วก็ตาม
ทำให้ทุกฝ่ายได้เห็นว่า ข้าราชการมีบทบาทสำคัญ ที่คอยช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติในยามวิกฤต”
ด้าน “พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผบ.ตร. กล่าวถึงความประทับใจต่อนายกรัฐมนตรีว่า
“สิ่งที่ผมประทับใจในตัวท่านนายกฯ คือ 1.มีความเป็นผู้นำสูงมาก 2.มีความเด็ดขาด 3.มีความรับผิดชอบ นี่คือความประทับใจตั้งแต่ที่ได้รู้จัก”
ขณะที่ “นายแพทย์ สุขุม กาญจนพิมาย” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เล่าย้อนถึงการต่อสู้กับโควิด-19 ว่า
“ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านนายกรัฐมนตรีที่ต่อสู้กับโควิด-19 ประเทศไทยต้องบอกว่าโชคดีที่มีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำ
ท่านเป็นคนที่มีคุณธรรม ความรู้สึกผมคือ ท่านเป็นคนมีบารมี มีสิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครองหลายอย่าง ภัยพิบัติที่จะเกิดกับประเทศไทยต้องอาศัยบารมีท่านนายกฯ ช่วย
บางอย่าง เหมือนจะเกิดภัยพิบัติ หรือเห็นสถานการณ์ของโรคร้าย แต่มันก็หายไปได้ พ้นไปได้ ก็เพราะการนำของท่านนายกรัฐมนตรี
ความเก่งของท่าน คือ การติดตามการทำงานทุกอย่าง ท่านเป็นผู้มีคุณธรรม มีเมตตากับลูกน้อง ในการทำงานสู้กับโควิด-19 นี้ ผมยอมรับว่า บางครั้งก็รู้สึกท้อ อยากจะร้องไห้ รู้สึกหมดหวัง แต่ก็ได้ความเมตตาจากท่านนายกฯ ติดตาม ถามไถ่</p
“แนวคิดเรื่อง State Quarantine ท่านนายกก็เป็นคนคิด-คนทำ ตอนแรกผมคิดไม่ออกจะทำได้อย่างไร แต่ท่านใช้ความเป็นผู้นำของท่าน ทำให้เกิด State Quarantine
และสุดท้าย ก็สามารถปกป้องประเทศไทยได้ ซึ่งในช่วงแรกนั้นคำนวณกันไว้ว่าประเทศไทยจะมีคนป่วยถึง 300,000 คน และคาดว่าจะมีคนตาย 60,000 คน
แต่วันนี้ ประเทศไทยทำได้ดีกว่านั้นมาก ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และผมมั่นใจว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะรอดได้ภายใต้การทำงานของท่านนายกรัฐมนตรีต่อไป” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุ
ขณะที่ “รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม” ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวถึงงานวิจัยว่า
“ก้าวหน้าไปมาก รัฐบาลได้สนับสนุนการก่อสร้างและอุปกรณ์ เช่น กล้องดูดาว รวมทั้งทุนการศึกษา ทุนวิทยาศาสตร์ ทุนเรียนต่อ”
ซึ่งปลัด อว.ย้ำถึงความสำคัญของทุนต่างๆ คงจะเป็นมรดกให้ลูกหลานหรือรุ่นน้องๆ ได้ดำเนินการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและทางด้านการศึกษาต่อไป
โฆษกรัฐบาล ยังเผยอีกว่า ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า
“คนเรามีทั้งข้อดีและข้อเสีย” ซึ่งผู้บริหารท่านหนึ่ง รีบเปรยว่า
“ขอให้ท่านนายกฯ อย่าเขียนหวัดมากนัก เพราะลายมือท่านไม่สามารถอ่านออกได้ เลยไม่ทราบว่าท่านสั่งการอะไร” ชึ่งนายกรัฐมนตรีอมยิ้มและยอมรับว่า
“เป็นข้อเสียที่แก้ไม่หาย เพราะคิดไว-ทำไว สมองคิดนำไปก่อน มือตามไม่ทัน”
และสุดท้าย ท่านนายกฯได้กล่าวว่า
“การทำงานของหัวหน้าส่วนราชการทุกกระทรวง และการทำงานของนายกรัฐมนตรีนั้น มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ร่วมกันปฎิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ และเพื่อความสุขของประชาชน”
บรรยากาศในการประชุม ซึ่งถือเป็นการอำลาปลัดกระทรวงที่จะเกษียณอายุราชการในปีนี้ เต็มไปด้วยความอบอุ่น สะท้อนถึงความผูกพันระหว่างนายกรัฐมนตรีและข้าราชการ ทั้งในฐานะผู้บังคับชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้ร่วมงานมาด้วยกัน
เป็นโมเม้นท์ที่เฉพาะคนในเหตุการณ์จะได้สัมผัสและเห็นถึงความตั้งใจและตัวตนที่แท้จริงของนายกรัฐมนตรี “เสียดายที่ไม่ได้ปรากฏในสื่อ” โฆษกรัฐบาล กล่าว
ครับ….
เผลอๆ ในจำนวนนี้ อาจมีซักคนถูกง้อในตำแหน่งรัฐมนตรี “หลังเกษียณ” ก็ได้นะ!