วันที่ 13 ส.ค. 63 ในการประชุมสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายข้อเสนอรายงานแนวทางในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ โดยเห็นว่าจากรายงานดังกล่าวมีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการชุมนุมและสิทธิของผู้ชุมนุม
ทั้งนี้มองว่าการสร้างความปรองดองจะต้องไม่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในกระบวนการที่จะสร้างความปรองดอง เพราะการปรองดองคือการประนีประนอมยอมกัน ตกลงกันด้วยการไกล่เกลี่ย
ซึ่งปัจจุบันการชุมนุมโดยเฉพาะเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 63 เป็นการสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย ไม่ใช่การสร้างความปรองดอง การชุมนุมที่เรียกร้องให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนและแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นข้อสังเกตคณะกรรมาธิการฯ เป็นเรื่องที่สร้างความขัดแย้งมาโดยตลอดเพราะเป็นการทำให้เป็นไปตามที่ฝ่ายตนต้องการ
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นการสร้างความปรองดอง การสร้างความปรองดองต้องไม่มีปัญหากับความเห็นต่าง แต่ขณะนี้การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญต่าง ๆ ผู้เรียกร้องล้วนใช้แต่วาทกรรมโจมตีอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
จึงไม่เห็นด้วยกับรายงานของคณะกรรมาธิการสร้างความปรองดองเพราะมีทั้งคำว่าสืบทอดอำนาจ การยื้อหรือถ่วงเวลาแก้รัฐธรรมนูญกลายเป็นคนไม่ดี
ส.ส.ไพบูลย์ ยังกล่าวถึงประเด็นการนิรโทษกรรมว่า ก่อนหน้านี้ตนเองเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมหากเหตุการณ์ได้ข้อยุติ หรือมีความสงบเพียงพอ ก็ควรนิรโทษกรรม
แต่ในปัจจุบันกลับมีเหตุการณ์ชุมนุมเกิดขึ้น ซึ่งทำให้การนิรโทษกรรมจะเป็นการสร้างความขัดแย้งครั้งใหม่ขึ้นเพราะต้องมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย มีบุคคลที่มีสิทธิไม่เห็นด้วย
ส่วนเรื่องข้อสังเกตเกี่ยวกับกองทัพเป็นข้อที่เป็นปัญหามาโดยตลอด หากจะสร้างความปรองดองต้องมองฝ่ายหนึ่งด้วยไมตรีจิต แต่การมองทหารด้วยความอคติ มองทหารเป็นอุปสรรค แม้กระทั่งการไปยุ่งเกี่ยวกับการถวายสัตย์ปฏิญาณของเหล่าทัพ
โดยระบุให้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นการผลักดันให้กองทัพเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง
การชุมนุมของนักศึกษาใช้ 3 นิ้ว เป็นสัญลักษณ์ แต่ผมก็มี 3 นิ้วเช่นเดียวกัน นิ้วที่ 1 คือ ชาติ นิ้วที่ 2 คือ ศาสนา นิ้วที่ 3 คือ พระมหากษัตริย์
