ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่ เทศกาลแห่งความสุขที่จะได้สังสรรค์และเพลิดเพลินไปกับการกินอาหารหลากหลายเมนู แต่หนึ่งเหตุการณ์อันตรายที่พบเห็นได้บ่อย ที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด และอาจถึงแก่ชีวิตโดยไม่รู้ตัว คือ “การสำลักอาหาร” ความรู้เรื่องวิธีการช่วยเหลือเมื่อมีคนสำลักอาหารจึงเป็นอาวุธคู่กายชิ้นสำคัญที่ควรมีติดตัว โดยเฉพาะเวลานี้ได้มีการอัปเดตแนวทางปฏิบัติในการช่วยเหลือฉบับใหม่ ที่เพิ่มโอกาสในการช่วยชีวิตคนสำลักอาหารได้มากยิ่งขึ้น
การปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน เป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างมาก จึงได้มีการค้นคว้าวิจัย และอัปเดตความรู้ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะ สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ และ สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association – AHA) ที่ได้มีการประกาศปรับแนวทางปฏิบัติการช่วยเหลือในทุก ๆ 5 ปี เช่นเดียวกับ สภากาชาดไทย โดย ศูนย์ฝึกอบรมปฐมพยาบาลและสุขภาพอนามัย ที่ได้นำความรู้ใหม่ ๆ เหล่านี้มาพัฒนาหลักสูตรการอบรมอย่างต่อเนื่อง
ผศ.ศิริพร พุทธรังษี ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมปฐมพยาบาลและสุขภาพอนามัย สภากาชาดไทย กล่าวว่า “ศูนย์ฝึกอบรมปฐมพยาบาลและสุขภาพอนามัย สภากาชาดไทย เป็นศูนย์ชำนาญการพิเศษของสภากาชาดไทย มีหน้าที่อบรมความรู้ด้านการปฐมพยาบาลและด้านสุขภาพอื่น ๆ ให้กับประชาชนทั่วไป เนื้อหาหลักสูตรที่เรามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ เราอ้างอิงตามแนวปฏิบัติของสากล และอัปเดตเพื่อผู้เข้าอบรมอยู่เสมอ”
“สำหรับปี 2025 เรามีการปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานตามแนวทางของ AHA ที่ประกาศเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา การอัปเดตในครั้งนี้มีหลายประเด็นที่สำคัญ อย่างการเน้นย้ำคุณภาพการช่วยฟื้นคืนชีพ หรือ CPR ทั้งในผู้ใหญ่ เด็ก และทารก และการช่วยชีวิตผู้สำลักอาหาร ซึ่งประเด็นการสำลักนี้ได้มีการอัปเดตครั้งใหญ่ และมีประโยชน์กับประชาชนอย่างมาก จากที่แต่เดิมคือการมุ่งไปที่การรัดกระตุก แต่วันนี้การรัดกระตุกอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องเพิ่มการตบหลังร่วมด้วย”
ด้าน นางสาวปิยฉัตร เทพรัตน์ รองผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมปฐมพยาบาลและสุขภาพอนามัย สภากาชาดไทย และ รักษาการหัวหน้ากลุ่มงานอบรมปฐมพยาบาล ได้ขยายความวิธีการช่วยชีวิตผู้ที่สำลักอาหารฉบับปรับปรุงใหม่ว่า “การปฐมพยาบาลช่วยเหลือผู้ที่มีอาการสำลัก อันดับแรกคือ การถามว่าเขาสำลักใช่หรือไม่ เพื่อยืนยันว่าเป็นภาวะสำลักอาหารจริง ไม่ใช่อาการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น การหายใจไม่ออกเพราะแพ้อาหาร เป็นต้น เพื่อการเลือกใช้วิธีช่วยชีวิตได้อย่างตรงจุดและปลอดภัย โดยผู้ที่มีอาการสำลัก จะมีอาการไอไม่ออก พูดไม่มีเสียง เมื่อสามารถยืนยันได้ว่าเป็นการสำลัก ให้เริ่มทำการช่วยชีวิตทันที”
ขั้นตอนที่ 1 ให้ผู้สำลักยืนแยกขาออก เราสอดขาเข้าไปเพื่อประคองตัวผู้บาดเจ็บ หลังจากนั้นประคองผู้บาดเจ็บไว้ด้วยมือข้างนึง
ขั้นตอนที่ 2 ใช้บริเวณส้นมือของมืออีกข้างหนึ่ง ตบไปที่กลางสะบักบริเวณหลัง จำนวน 5 ครั้ง
“การตบหลังตรงนี้ คือส่วนที่เพิ่มเข้ามาล่าสุด ซึ่งพบว่าเป็นการช่วยเพิ่มแรงดันของช่องปอด เพราะในกรณีสิ่งแปลกปลอมที่อุดกั้นหลอดลมในบริเวณที่ยังไม่ลึกมาก ถ้าเราตบหลังแล้วมีแรงดันในช่องปอดเพียงพอ จะสามารถทำให้สิ่งแปลกปลอมนั้นหลุดออกมาได้ แต่ถ้าลงมาลึก ลักษณะของตบหลังหรือตบกึ่งกลางระหว่างสะบักทั้งสองข้างอาจจะยังไม่เพียงพอ ก็ใช้ในการรัดกระตุกใต้กระบังลมร่วมด้วย เป็นการเพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น รวมถึงลดการบาดเจ็บลงได้”
ขั้นตอนที่ 3 ในกรณีที่สิ่งอุดกั้นยังไม่ออกมา ให้ทำการหาตำแหน่งในการรัดกระตุกใต้กระบังลมให้รวดเร็ว โดยใช้หลักสามนิ้ว คือ ให้วางปลายนิ้วกลางที่สะดือ วางนิ้วโป้งบริเวณลิ้นปี่ จากนั้นกุมกำปั้นวางที่โคนนิ้วชี้ ให้ผู้ปฐมพยาบาลยืดตัวขึ้น แล้วใช้แรงรัดกระตุกเป็นชุด ชุดละ 5 ครั้ง
“เมื่อทำครบทั้ง 3 ขั้นตอน แต่สิ่งอุดกั้นยังไม่ออก ให้วนกลับมาขั้นตอนที่ 1 อีกครั้ง พร้อมโทรเรียก 1669 หรือนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด” นางสาวปิยฉัตรกล่าวเน้นย้ำถึงหัวใจสำคัญของวิธีการช่วยชีวิตเบื้องต้นนี้
ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมฯ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ตรงนี้อาจเป็นเพียงแค่ทฤษฎีเบื้องต้นที่ทุกคนควรรู้ไว้ แต่ส่วนเติมเต็มที่สำคัญ คือ การได้ทดลองภาคปฏิบัติ เพื่อเพิ่มความกล้าในการลงมือทำจริงหากมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น และสามารถช่วยชีวิตคนได้อย่างปลอดภัย โดยศูนย์ฝึกอบรมฯ มีหลักสูตรอบรมการปฐมพยาบาลมากมายที่ผสมผสานทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ และมั่นใจได้เลยว่าเมื่อท่านจบหลักสูตรเหล่านี้ออกไป จะสามารถนำความรู้และทักษะไปใช้ในชีวิตจริงได้ตามมาตรฐานสากล”
การปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิตเบื้องต้น นับเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญต่อทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เพราะเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และบางครั้งคุณอาจเป็นคนเดียวที่อยู่ตรงนั้น การมีความรู้พื้นฐานในการช่วยชีวิตไม่เพียงช่วยให้ผู้ประสบเหตุมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น แต่ยังทำให้คุณเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความปลอดภัยในสังคม และทำให้เทศกาลแห่งความสุขใด ๆ ต่อจากนี้ ไร้ซึ่งความสูญเสียแบบไม่คาดคิดจากการสำลักอาหาร.



