ผักกาดหอม
ไม่รู้เป็นการฉีก MOA ตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่
โดยเฉพาะข้อ ๔ ที่ระบุว่า…
“….เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน ๔ เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก….”
วานนี้ (๒๓ พฤศจิกายน) หัวกระไดพรรคภูมิใจไทยชุ่มเลยครับ
“สนธยา คุณปลื้ม” ขนสมาชิกบ้านใหญ่ชลบุรี ซบพรรคภูมิใจไทย
“วราวุธ ศิลปอาชา” ก็ขนลูกพรรคชาติไทยพัฒนา เข้าที่ทำการพรรคภูมิใจไทย
มาทำอะไรกัน?
“วราวุธ” บอกว่า “…มาระดับหนึ่ง วันนี้มาทานข้าวเฉยๆ…”
แต่ “อนุทิน” พูดชัดกว่า
“…ผมกับคุณวราวุธเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา สมัยที่ท่านบรรหาร ก็ดูแลผมเหมือนลูกหลาน และยังเคยพูดกับผมว่าไปไหนก็ให้ดูแลน้องด้วย มีอะไรก็ดูแลกัน
พูดตั้งแต่ตอนท่านยังไม่สิ้นไป
แล้วตอนนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีเราก็ได้มาคุยกันว่า การทำการเมืองจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนมากที่สุด
แยกกันทำก็อาจจะเกิดประโยชน์กับประชาชนไม่เต็มที่ ประสิทธิภาพและศักยภาพของแต่ละคนต้องประกอบด้วยหลายอย่าง ทำให้ตายหากไม่มีองค์ประกอบอื่นๆ ก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่
วันนี้เราพยายามใช้ศักยภาพ ประสิทธิภาพ ประสบการณ์และความสามารถของแต่ละคนที่มี ที่พร้อมจะรับใช้บ้านเมือง และประชาชนอย่างเต็มที่ เราเอาตรงนี้มาเปิดโอกาสให้เขาใช้สิ่งที่มี พรรคภูมิใจไทยก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า เราให้โอกาสคนทำงาน ไม่มีการกั๊กหรือก้าวก่ายกัน…”
ฉะนั้นไม่เฉยหรอกครับ เพราะพรรคภูมิใจไทย เขาจัดประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ ๑/๒๕๖๘
มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ การเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง
มีการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เช่น คณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร คณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการยุทธศาสตร์ รวมถึงการเปิดตัวกลุ่มการเมืองที่มาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย
กินข้าวแค่คั่นเวลา
ครับ…หลักๆ คือบ้านใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ศิลปอาชา, สะสมทรัพย์, ชมกลิ่น, คุณปลื้ม ต่างก็มาเพื่อประกาศให้รู้ว่าย้ายเข้าพรรคภูมิใจไทยแล้ว
หลังประชุมกันเสร็จถึงเวลาเปิดตัว ก็สมเหตุสมผลครับ
“วราวุธ” บอกว่า…
“…ในระบบการเมือง ไม่ว่าจะในประเทศไหนก็ตาม การที่มีพรรคการเมืองจำนวนมากจะทำให้เกิดพรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นจำนวนมาก
แต่หากดูจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษที่มีพรรคการเมืองหลักอยู่ ๒-๓ พรรค ทำให้การทำงานมีความราบรื่นมากขึ้น…”
ใช่ครับการเมืองวันนี้ถ้าเป็นเบี้ยหัวแตก พรรคสุดโต่งอย่างพรรคส้ม จะยังคงได้ สส.เป็นกอบเป็นกำ เพราะคนสุดโต่ง เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลมันมีเยอะ
ขั้วอนุรักษนิยมหลังหมดยุครุ่งเรืองของพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในสภาวะกระจัดกระจาย เป็นเบี้ยหัวแตก หลังการเลือกตั้งแต่ละครั้งจึงแทบไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
บางพรรคไม่ได้ สส.เลยแม้แต่ที่นั่งเดียว
หากเลือกตั้งครั้งนี้ ยังคงเป็นแบบเดิม พรรคส้มก็ได้ลุ้น ในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อีกครั้งอย่างแน่นอน
การรวมตัวกันของฝ่ายอนุรักษนิยมในครั้งนี้จึงอาจมีความหมายกว่าครั้งไหนๆ
ขณะนี้พรรคภูมิใจไทยมี สส.ทั้งสิ้น ๗๑ คน
ที่เพิ่มเห็นชัดๆ คือ ๒ คนจากพรรคเพื่อไทย
๑๘ เสียงจากพรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย “สุชาติ ชมกลิ่น”
“วราวุธ ศิลปอาชา” จากพรรคชาติไทยพัฒนา พามาอีก ๑๐ คน
รวม ๑๐๑ คนแล้ว
ลำพังพรรคภูมิใจไทยก็ยังห่างไกลกับคำว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
รวมกับพรรคร่วมรัฐบาลเสียงก็ยังไม่ถึง
พรรคส้มหายห่วงได้ โอกาสฉีก MOA เพราะดูด สส.จนเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ยุบสภาเมื่อไหร่ จะเป็นหนังคนละม้วนทันที
เพราะยังมี สส.จำนวนมากที่จะไหลเข้าพรรคภูมิใจไทย
นั่นพอทำให้มองเห็นรำไร ถึงระบบ ๒ พรรค เหมือนในอดีตที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวยืน
พรรคส้มที่อุดมไปด้วยพวกซ้ายตกขอบ กางตำรามาประกาศว่าจะปฏิรูปทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ยังไม่มีวาสนาได้ลงมือปฏิบัติ
เพราะอุดมการณ์ตกขอบมันมัดคอตัวเองนั้น
มาหนนี้ยังได้ลุ้นจัดตั้งรัฐบาลอีกรอบ
เปิดตัว ๓ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, ศิริกัญญา ตันสกุล, วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ดูเงียบๆ ซึมๆ เหมือนไปได้สุดแค่นี้
ไม่มีตัวพลิกเกม!
พรรคภูมิใจไทย จะกลายเป็นพรรคพลังประชารัฐเวอร์ชัน “น้าหนู”
แต่ยากจะคาดเดาว่าจะได้ สส.มากี่ที่นั่ง
การรวม สส.ได้เยอะ ไม่ได้การันตีว่าหลังเลือกตั้งจะเป็นพรรคอันดับ ๑ หรือ อันดับ ๒ เพราะใช่ว่าจะได้รับเลือกกลับเข้าสภากันทุกคน
แต่การหลุดไปเป็นพรรคอันดับ ๓ ก็ยากเช่นกัน นั่นเพราะเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคภูมิใจไทยได้ “กระแส” มาช่วยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรค เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๑
และอาจเป็นกระแสที่สร้างความพ่ายแพ้ให้แก่พรรคส้ม
สำหรับพรรคเพื่อไทยยังคงมีความสำคัญอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
เพราะจะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล
ครับ…วันนี้พรรคไหนยังไม่พร้อมก็ต้องพร้อมได้แล้วครับ
เพราะการเลือกตั้งอาจมาเร็วกว่าที่คิด
“นายกฯ อนุทิน” บอกในที่ประชุมพรรคภูมิใจไทยว่า ให้เตรียมตัวฟังสัญญาณในวันที่ ๑๒ ธันวาคม
ฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ก็มาจากเงื่อนไขที่รับรู้กันอยู่แล้ว หากพรรคเพื่อไทยยื่นซักฟอก ก็ชิงยุบสภา
ว่าไปแล้วพรรคเพื่อไทยกลับตกที่นั่งลำบาก เพราะสส.ส่วนใหญ่ยังไม่อยากให้ยุบสภาก่อนปีใหม่
อุตส่าห์เคาะกะลาว่าร่างญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจไว้แล้ว พร้อมยื่นแน่นอน
หากไม่ยื่นก็เสียสุนัข
ยื่นไปก็เสียเหลี่ยมการเมือง
มองไปทางไหนดูเหมือนตีบตันไปหมด
สภาพไม่ต่าง “นายใหญ่” ใช้ชีวิตในคุก.

