บันทึก “เสด็จเยือนจีน” #เปลวสีเงิน

 เปลว สีเงิ

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี”

เสด็จนิวัติพระนครแล้ว

โดยเครื่องบินพระที่นั่งของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินที่ ทีจี ๘๘๘๗

จาก “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ถึงท่าอากาศยานทหาร ดอนเมือง เมื่อเวลา ๒๐.๔๕ น.ของจันทร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๘

ฉะนั้น วันนี้ พักคุยการบ้านการเมือง รวมทั้งเรื่องปัญหาชายแดนไทย-เขมร ที่เข็มยาวของนาฬิกากำลังกระดิกทับเลข ๑๒ เพื่อตีบอกเวลา “ชะตาเขมร” ไว้ซักวันก่อน

เพื่อที่ผมจะได้นำเรื่องการเสด็จฯ ครั้งประวัติศาสตร์นี้มา บันทึกไว้สืบๆ ไป เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รู้ว่า “จีน-ไทย” นั้น

คือ “ครอบครัวเดียวกัน”

ต่อจากนี้ มิใช่ผมเขียนเอง….

หากแต่มี “ท่านผู้ทรงคุณ” ทางวิชาการหลายท่านโพสต์ไว้เป็นวิทยาทาน ผมขออนุญาตไว้ตรงนี้ ที่จะนำมารวบรวมให้อ่านเป็น “บันทึกแห่งชาติ”

เริ่มต้น จากโพสต์ของคุณ “เจริญกรุง” ดังนี้

……………………………………………………….

“เจริญกรุง”

ความพิเศษและเกียรติยศสูงสุด ที่จีนมีต่อไทย สะท้อนออกมาในวาระแห่งการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ

ของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ระหว่างวันที่ ๑๓ – ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๘

“รัฐบาลจีน” ได้เฝ้ารับเสด็จฯอย่างสมพระเกียรติและเปี่ยมด้วยสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพอันลึกซึ้ง

ที่จีนมีต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย”

ซึ่งเป็นมากกว่าพิธีการต้อนรับ “ประมุขแห่งรัฐ” ตามปกติทั่วไป อย่างเห็นได้ชัด

ความพิเศษเหล่านี้ สะท้อนผ่านรายละเอียดสำคัญที่ถูกนำมาปฏิบัติเพื่อแสดงความเคารพสูงสุดในระดับ “องค์พระประมุข”

เริ่มตั้งแต่พิธีการต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ “มหาศาลาประชาชน” กรุงปักกิ่ง ได้รับการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่

โดยมีการยิงสลุต ๒๑ นัด ตามธรรมเนียมสูงสุดสากล

แต่สิ่งที่สร้างความประทับใจอย่างยิ่ง คือการที่ทหารกองเกียรติยศของจีนได้เปล่งเสียง 向右看 敬礼 เซี่ยงโย่วค่าน จิ้งหลี่

ที่ได้ยินว่า ซ่งค่านจิ้งหลี่ (หันขวา ทำความเคารพ – อ่านเพิ่มเติมในหมายเหตุ)*

คล้ายเสียงภาษาไทยที่ใช้ถวายพระพรชัยมงคลว่า “ทรงพระเจริญ”

อีกหนึ่งรายละเอียดที่เน้นย้ำถึงการถวายพระเกียรติยศสูงสุด คือ การที่รัฐบาลจีน ได้เชิญ “ธงมหาราช” (ธงพระราชอิสริยยศประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ไทย) ขึ้นสู่ยอดเสา

เคียงคู่กับ “ธงชาติจีน” และ “ธงชาติไทย” ในสถานที่ประทับ

โดยปกติแล้ว การต้อนรับประมุขแห่งรัฐตามหลักปฏิบัติสากล จะเชิญเพียงธงชาติของ “ผู้มาเยือน” เท่านั้น

การเชิญธงมหาราชขึ้นสู่ยอดเสาถือเป็นการปฏิบัติที่แสดงถึงการยกย่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ในฐานะพระประมุขสูงสุด

เทียบเท่ากับพระเกียรติยศของ “สมเด็จพระจักรพรรดิ”

ในการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท มีการเลือกใช้คำราชาศัพท์ในภาษาจีนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า

“ปี้เซี่ย”  陛下

ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกพระมหากษัตริย์หรือสมเด็จพระจักรพรรดิ (เทียบเท่าคำว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท)

คำนี้ เป็นคำราชาศัพท์ที่มีความสำคัญและมีระดับการใช้สูงสุด สะท้อนถึงการ “ถวายพระเกียรติ” ในระดับเดียวกับ “องค์จักรพรรดิ” ในอดีตของจีน

และเป็นการยืนยันถึงความเข้าใจและให้ความสำคัญต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ตามธรรมเนียมอย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ ในการสื่อสารกับประชาคมโลกอย่างเป็นทางการ รัฐบาลจีน ได้ใช้คำที่แปลว่า

“กษัตริย์” คือ ไท่หวาง 泰王 และ

“พระราชินี” คือ ไท่กั๋ว หวางโฮ่ว 泰国王后

ในการเรียก “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ตามหลักการทูตสากล

ซึ่งเป็นการแยกสถานะของ “กษัตริย์” แห่งรัฐเอกราชออกจากคำว่า “จักรพรรดิ” หวงตี้ 皇帝 ที่สงวนไว้ สำหรับพระประมุขในระบบจักรวรรดิจีน

การเลือกใช้คำอย่างถูกต้องตามระเบียบ ควบคู่ไปกับการถวายคำราชาศัพท์สูงสุดว่า “ปี้เซี่ย” 陛下

จึงเป็นการแสดงออกถึงการถวายความเคารพต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยในฐานะประมุขสูงสุดของประเทศอย่างสมบูรณ์ที่สุด

ความพิเศษทั้งหมดนี้ เป็นเครื่องตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยาวนานระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน

ในวาระการครบรอบ ๕๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และเป็นการส่งสาส์นที่ชัดเจนว่า

ความผูกพันในระดับราชวงศ์และระดับประชาชนยังคงเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งระหว่างสองประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

**หมายเหตุ**

*เดิมเข้าใจว่าทหารกองเกียรติยศเปล่งเสียงเป็นภาษาไทยว่า  “ทรงพระเจริญ” แต่ได้รับการยืนยันจากจนท.รัฐบาลจีนในปักกิ่งว่า

เป็นการออกคำสั่ง 向右看 敬礼 เซี่ยงโย่วค่าน จิ้งหลี่ (หันขวา ทำความเคารพ) ที่เมื่อใช้สำเนียงเหนือ จะได้ยินเป็น “ซ่งค้านจิ้งหลี่” คล้ายกับคำว่า “ทรงพระเจริญ”

อย่างไรก็ดี จนท.ฝ่ายจีนที่มาต้อนรับกับคณะ จนท.ฝ่ายไทย เล่าว่า มีความปลาบปลื้ม ที่ได้ร่วมเฝ้ารับเสด็จ และพร้อมใจกันแต่งกายไว้ทุกข์แด่ “สมเด็จพระพันปีหลวง”

ถือเป็นการถวายเกียรติให้ “ราชสำนักไทย” ด้วยความเคารพยิ่ง 🙏🙏🙏

เรื่อง: กองบรรณาธิการเพจเจริญกรุง

…………………………………………………..

อีกเรื่อง ไม่ทราบว่าเป็นโพสต์ของท่านใด แต่มีผู้นำมาแชร์อย่างแพร่หลาย คุณ Supakij นำมาแชร์ไว้ในเพจผม ดังนี้

จีน–ไทย “ครอบครัวเดียวกัน” :วาทกรรมที่จีนไม่เคยให้ชาติอาเซียนอื่น

จีนใช้วาทกรรมทางการทูตกับทุกประเทศในอาเซียน แต่มีเพียง “ชาติเดียว” ที่ได้รับถ้อยคำที่มีน้ำหนักทางสัญลักษณ์มากที่สุด

นั่นคือ ประโยคที่คนไทยคุ้นหูว่า “จีน–ไทยครอบครัวเดียวกัน” ซึ่งภาษาจีนคือ 中泰一家亲 — Zhōng–Tài yī jiā qīn

คำนี้ ฟังเหมือนคำชม

แต่ในโลกการทูตจริงๆ แล้วมันคือ “สัญญะทางยุทธศาสตร์” ที่จีนเลือกใช้เฉพาะกับไทยเท่านั้น เพราะไทยไม่มีข้อพิพาททางทะเล

ไม่มีบาดแผลประวัติศาสตร์ และมีรากของคนเชื้อสายจีนที่ฝังลึกอยู่ในสังคมไทยมายาวนาน

จนจีนเชื่อว่า ฐานสังคมของไทย “พร้อมจะเชื่อมกับจีน” ได้ง่ายที่สุดในภูมิภาคนี้

ถ้าหันไปมอง “สิงคโปร์” จีนไม่เคยพูดว่า “ครอบครัวเดียวกัน” แต่ใช้คำที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง คือ

与时俱进的全方位伙伴关系 — Yǔ shí jù jìn de quánfāngwèi huǒbàn guānxì ซึ่งแปลว่า “หุ้นส่วนทุกมิติที่พัฒนาไปตามยุคสมัย”

ฟังแล้วเข้ม แข็ง และเป็นทางการ เพราะสิงคโปร์ คือรัฐเล็กแต่มีอำนาจต่อรองสูง จีนจึงต้องใช้ภาษาของ “หุ้นส่วนที่เท่าเทียม” มากกว่าภาษาความสนิททางอารมณ์แบบที่ใช้กับไทย

ส่วน “มาเลเซีย” จีนเลือกใช้วาทกรรมเชิงยุทธศาสตร์ที่ผูกกับโครงการ BRI มากกว่า

โดยเรียกมาเลเซียว่า 命运共同体 — Mìngyùn gòngtóngtǐ หรือ “ชะตากรรมร่วมกัน” เพราะมาเลเซียคือหัวใจสำคัญของเส้นทางสายไหมใหม่

เช่น โครงการ ECRL แต่แม้จะใกล้ชิดทางเศรษฐกิจ จีนก็ไม่ใช้ภาษาว่าเป็นครอบครัว

เนื่องจากมาเลเซีย มีจุดยืนที่ชัดเจนในทะเลจีนใต้และรักษาระยะห่างในประเด็นที่อ่อนไหวต่ออธิปไตยของตนเอง

“อินโดนีเซีย” ในสายตาจีน คือมหาอำนาจของอาเซียน จีนจึงใช้คำว่า 全面战略伙伴 — Quánmiàn zhànlüè huǒbàn

หมายถึง “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน”

ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์แบบ “รัฐต่อรัฐ” ที่ต้องรักษาความเท่าเทียมสูง เพราะอินโดนีเซีย ไม่ใช่ประเทศที่จีนจะใช้วาทกรรมเชิงอารมณ์

แต่ต้องใช้ถ้อยคำที่แสดงความเคารพและความเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคนี้

“เวียดนาม” เป็นกรณีพิเศษที่สุดในอาเซียน เพราะจีนใช้คำว่า 同志加兄弟 — Tóngzhì jiā xiōngdì หรือ “สหาย + พี่น้อง”

ฟังดูแรงในเชิงอุดมการณ์ เพราะทั้งจีนและเวียดนามมีพรรคคอมมิวนิสต์ แต่จีนไม่ใช้คำว่า 一家亲 กับเวียดนาม

เนื่องจากความระแวงจีนฝังลึก และทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทชายแดนและทะเลจีนใต้มายาวนาน

การใช้คำว่า “ครอบครัวเดียวกัน” จึงไม่เหมาะในบริบทที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์

“กัมพูชา” แม้พึ่งพาจีนมากที่สุดในเชิงเศรษฐกิจและการเมือง แต่จีนกลับใช้คำว่า 铁杆朋友 — Tiěgǎn péngyǒu หรือ  “เพื่อนเหล็ก” ไม่ใช่ครอบครัว

คำนี้ สะท้อนว่าจีนมองกัมพูชาเป็นมิตรที่มุ่งประโยชน์ร่วมกันแบบเข้มแข็ง แต่ยังไม่ใช่ความผูกพันเชิงสังคม–วัฒนธรรมลึกแบบไทย

และจีนก็ต้องระวังความละเอียดอ่อนในการเมืองภายในของกัมพูชาด้วย

“ลาว” ก็เช่นเดียวกับมาเลเซีย จีนใช้คำว่า 命运共同体 — Mìngyùn gòngtóngtǐ “ชะตากรรมร่วมกัน”

โดยเฉพาะจากโครงการรถไฟลาว–จีนและ BRI ที่ทำให้ทั้งสองประเทศถูกผูกไว้กันในเชิงโครงสร้าง แต่จีนก็ยังไม่ยกระดับเป็น “ครอบครัวเดียวกัน”

เพราะความสัมพันธ์ยังอยู่ในกรอบผลประโยชน์ยุทธศาสตร์เป็นหลัก ไม่ใช่ความผูกพันของสังคมสองฝั่งแบบจีน–ไทย

“เมียนมา” เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ชัดเจน จีนใช้คำจากภาษาพม่าเองว่า 胞波情谊 — Bāobō qíngyì หมายถึง “มิตรภาพพี่น้องร่วมสายโลหิต”

ซึ่งเป็นคำที่มีน้ำหนักเชิงวัฒนธรรมในพม่า แต่จีนไม่ใช้คำแบบไทย เพราะสถานการณ์การเมืองเมียนมาไม่มั่นคง

และจีนไม่ต้องการแบกรับสัญญะที่ผูกพันเกินไปในบริบทที่ควบคุมไม่ได้

เมื่อมองทุกประเทศในอาเซียน เราจึงเห็นความจริงข้อหนึ่งชัดเจนว่า ไทยคือชาติเดียวที่จีนเลือกใช้ภาษาระดับ “อารมณ์ทางวัฒนธรรม”

ไม่ใช่เพียงระดับการทูตหรือระดับยุทธศาสตร์ ไม่มีชาติใดในอาเซียนได้รับคำว่า 一家亲 — yī jiā qīn แบบไทย แม้ประเทศนั้น จะพึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจมากกว่าไทยด้วยซ้ำ

เพราะความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนถูกออกแบบให้ลึกถึงระดับสังคม ชนชั้นกลาง วัฒนธรรม

และประวัติศาสตร์ของชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งจีนถือเป็นทุนทางอำนาจที่ใช้ไม่ได้กับทุกประเทศ

นี่คือเหตุผลที่จีนพูดได้เต็มปากว่า “中泰一家亲 — Zhōng–Tài yī jiā qīn”

แต่ไม่อาจพูดแบบเดียวกันกับประเทศอื่นในอาเซียน

เพราะแต่ละคำที่จีนเลือกใช้ ไม่ใช่คำสวยหรู แต่เป็นเครื่องมือกำหนดระดับความใกล้ชิด ตามที่จีนต้องการสร้างกับแต่ละประเทศอย่างเฉพาะเจาะจง

และไทยคือประเทศที่จีนมองว่า “ผูกได้ลึกที่สุด” ในทุกมิติของภูมิภาคนี้.

ก็ต้องขอจบบันทึกประวัติศาสตร์นี้ด้วยคำว่า

หมื่น…ล้าน มิตรสหาย

ฤาจะผูกพันและจริงใจเท่า “หนึ่ง-ในครอบครัวเดียวกัน”

เปลว สีเงิน

๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from plew
ไม่รู้ทัน “มันกินเรียบ” #เปลวสีเงิน
เปลว สีเงิน “ตรรกะโจร” บางเรื่องนี่ ใช้ได้นะ เช่นที่พูดว่า “ผลไม้พิษย่อมมาจากต้นไม้พิษ” ผมตรอง เออ….ก็จริงของเขาแฮะ! อย่าง “ตัวพ่อ” มันก็คือ...
Read More
0 replies on “บันทึก “เสด็จเยือนจีน” #เปลวสีเงิน”