เปลว สีเงิน
ถ้าผมบอก…..
“เฉยไว้..เดี๋ยวเห็นดีเอง” คงมีเสียงรุมสวนออกมาแน่
ว่า “เฉยญาติ-เฉยโยมมึงซี…..
ทหารขาขาดไปแล้วตั้ง ๗ นาย แล้วรัฐบาลทำอะไร นอกจากประท้วง..ประท้วง…หรือต้องการขาที่ ๘ ของทหารไทย เพื่อใส่พานไปถวายฮุนเซน เป็นความดี-ความชอบ?”
ก็จวกเถอะ ผมไม่ว่าไร เพราะเข้าใจความรู้สึกพี่น้องไทยเวลานี้
แต่เพราะความเป็น “มวยหลัก” ของไทยนั่นแหละ การจะทำบุ่มบ่ามด้วยอารมณ์ตอบโต้เขมร ด้วยแค้นที่มันลอบกัดไทยครั้งแล้ว-ครั้งเล่า แบบนั้น
มันจะเป็น “มวยวัด” ที่ไม่มีชั้น-มีเชิงไปหน่อย
แถมจะถูกสังคมโลกเขาติฉิน ที่ไทยเรา “ลงไปกัดกะหมา” ที่ไร้ราคาอย่างเขมร และนั่นจะทำให้ไทยเราถูกมองว่า เป็นการ “ลดค่าตัวเอง” ลงไป ซึ่งไม่คุ้มกันเลย!
ดังนั้น ผมจึงอยากให้ “อดกลั้น” กันซักพัก คือให้เวลารัฐบาล โดย “กระทรวงการต่างประเทศ” เขาเดินเกมตามกติกาโลกให้ครบขั้นตอนก่อน
เมื่อสังคมโลกรับรู้ในสิ่งที่เขมรละเมิดข้อตกลงที่ทำกับไทยไว้ครั้งแล้ว-ครั้งเล่าแล้ว นั่นเท่ากับ “ฝ่ายบุ๋น” สร้างกรอบให้ฝ่ายบู๊ คือ “กองทัพ”
ลงมือได้ “โดยชอบธรรม”!
ทีนี้แหละ ปฎิบัติการสั่งสอนและทวงคืน เขมรจะต้องได้รับจาก “กองทัพไทย” ชนิด เจ็บไป ๗ ชั่วโคตร!
ที่จะบุ่มบ่าม เอาปืนใหญ่ยิงถล่มดื้อๆ หรือส่ง เอฟ-๑๖ กริพเพ่น บินขึ้นไป ให้ทหารเขมรที่พอได้ยินเสียง ก็วิ่งหนีกันขี้แตก-เยี่ยวแตก แบบนั้น
นั่นมันดูจะเถื่อนๆ ไปนิด ไม่ต่างจากตอนเขมรยิงจรวด BM-21 ใส่ไทย ซึ่งไทยจะไม่ทำอะไรที่ “ไร้เหตุ-ไร้ผล” เช่นนั้น
ในความเห็นผม ตอนนี้ เรื่อง “ปราสาทตาควาย” ของไทย ที่เขมรยึดเอาไป ซึ่งเป็นโบราณสถาน ได้รับการเสนอชื่อเป็นมรดกโลกแล้ว
มันเป็นสิ่งต้องห้ามที่จะใช้โบราณสถานเป็นบังเกอร์ เป็นฐานปฎิบัติการทหารไม่ได้ แต่ทหารเขมรกลับละเมิดกฎ
แถมวาง “กับระเบิด” ไว้รอบตัวปราสาท ซึ่งเป็นการผิดอนุสัญญาออตตาวาชัดเจน
ที่ทหารไทย ไม่บุกเข้าไปขับไล่ทหารเขมรออกจากปราสาทตาควาย ส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุนี้
ถ้าบุกเข้าไป ก็ต้องมีการยิงกัน ตัวปราสาทก็จะเสียหาย ซึ่งทหารไทยจะไม่ทำเช่นนั้น
และอีกเหตุหนึ่ง รอบตัวปราสาท ทหารเขมรฝังกับระเบิดไว้ทั่ว เมื่อใช้อาวุธกับฝ่ายตรงข้ามได้ไม่ถนัด การบุกฝ่ากับระเบิดเข้าไปเผด็จศึก
ทหารไทยจะเสียเปรียบทหารเขมรมาก!
ปัจจุบันจึงแค่ตรึงกำลังไว้ เพื่อมิให้เขมรรุกเข้ามาในแดนไทยมากกว่านั้น
เมื่อไทยสะบั้นปฎิญญานำร่องสันติภาพ เพราะเขมรละเมิดข้อตกลง โดยลอบเข้ามาวางกับระเบิดที่ห้วยตามาเรีย ศรีสะเกษ จนทหารไทยขาขาดเป็นรายที่ ๗ เมื่อ ๑๐ พ.ย.๖๘
และตอนนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินขั้นตอนทางการทูต สร้างความชอบธรรม “อุดช่องโหว่” ที่จะถูกกล่าวหาว่า “รุกรานเขมร”
พ้นจากขั้นตอนนี้….
การที่กองทัพภาค ที่ ๒ จะยกเหตุ “ปราสาทตาควาย” เป็นของไทย แล้วยื่นเงื่อนไขให้เขมร “ถอยออกไป” จากที่เข้ามายึดปราสาทตาควายเป็น “ฐานปฎิบัติการสู้รบ”
ไม่เช่นนั้น ทหารไทยจะใช้กำลังขั้นเด็ดขาดเข้าปฎิบัติการขับไล่ เพื่อเอาปราสาทตาควายคืนมา
อย่างนี้ก็ “สมเหตุ-สมผล” ที่กองทัพจะใช้กำลังอย่างถูกต้องตามกฎ-กติกาสากล โดยสังคมโลกไม่ติฉิน
ถ้าทหารเขมร “ต่อสู้-ขัดขืน”…..
ทหารไทยจะให้บทเรียนเขมรด้วยยุทธวิธีไหน อาวุธยุทโธปกรณ์แบบใด ก็เอาให้มัน “เต็มภิกขา” ไปได้เลย
แผ่นดินไทยที่เขมรรุกล้ำตรงไหน
จากอีสานใต้ ยันตะวันออก จันทบุรี-ตราด เอากลับคืนมาให้หมด!
จากนั้น ต้องเรียกค่าเสียหาย จากที่ยิงจรวด BM-21 ใส่พลเรือนไทย ตาย-เจ็บ ร่วม ๕๐ คน และทหารไทยขาขาดจากเขมรลอบวางกับระเบิดทั้ง ๗ นาย นั่นด้วย
สรุปความตามนัยของผมคือ…..
กระทืบสั่งสอนมันน่ะ กระทืบแน่ แต่ยังไม่ใช่วัน-สองวันนี้ ต้องให้รัฐบาลเขา “แต่งตัว-ประแป้ง” ให้ถูกกฎ-ถูกกติกาโลก ก่อน
อย่างน้อย ก็อย่างที่ “นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รัฐมนตรีต่างประเทศ ท่านบอกว่า
“…….ยังต้องชี้แจงไปยังประชาคมโลก โดยจะมีการประสานไปยังกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ เพื่อนำข้อเท็จจริงต่างๆ มาเสริมท่าทีของไทยให้มีความหนักแน่น และมีความชอบธรรม
ซึ่งหากต้องการให้การปฎิบัติตามข้อตกลงไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ฝ่ายกัมพูชาจะต้อง “แสดงความรับผิดชอบ” ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน
ซึ่งต้องดูว่า ต่อจากนี้ฝ่ายกัมพูชาจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไร เราก็จะยกระดับ “ความเด็ดขาด” ของเราขึ้นไปอีกก็ได้”
และตามที่ “พลเอกณัฐพล นาคพานิชย์” รัฐมนตรีกลาโหม แย้มเป็นนัยว่า….
“เมื่อเขาไม่ปฏิบัติตามปฏิญญา เราก็สั่งระงับ และจะมีการปฏิบัติทางทหารในพื้นที่อธิปไตยของไทย แต่ขอไม่ลงรายละเอียดในการปฎิบัติการทางทหารว่า มีอะไรบ้าง”
แล้วถึงตอนนี้ เขมร “แสดงความรับผิดชอบ” ให้เป็นที่พอใจของฝ่ายไทยอย่างไรบ้าง?
คำตอบคือ “กระทรวงต่างประเทศเขมร” แถลงการณ์ว่า….
“รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาของไทยที่ว่า
กัมพูชาได้วางทุ่นระเบิดใหม่บริเวณชายแดนติดกับประเทศไทย ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ทราบกันดีคือ
เขตทุ่นระเบิดส่วนใหญ่จากสงครามกลางเมืองกัมพูชาเมื่อเกือบสามทศวรรษก่อนในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 ตลอดแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย ยังไม่ได้รับการเก็บกู้…..”
นายฮุนเซนและ “พล.ท.มาลี โสเจียตา” โฆษกกลาโหมเขมร แถลงไปทางเดียวกันว่า
“ขอย้ำว่านับตั้งแต่เข้าเป็นรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา กัมพูชาได้ยึดมั่นในหลักการและพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศมาโดยตลอด
โดยไม่วางทุ่นระเบิดใหม่ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของมนุษยชาติ
แท้จริงแล้ว แม้มีความพยายามในการกวาดล้างทุ่นระเบิดในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งเป็นเศษซากจากสงคราม ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ในหลายพื้นที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามแนวชายแดนกัมพูชาและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศไทย”
ทั้งหมดนี้ …..
ท่านดูเอา ว่าเขมร “แสดงความรับผิดชอบ” หรือเขมร “กวนตีน”!?
ทีนี้ มาดูฝ่ายไทยบ้าง “พลตรี วินธัย สุวารี” โฆษกกองทัพบก แถลงเมื่อวาน (๑๑ พ.ย.๖๘)
“กองทัพภาคที่ ๒ ยืนยันว่า เหตุดังกล่าว เกิดขึ้นระหว่างที่กำลังพลปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนบนเส้นทางที่ใช้เป็นประจำ
ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว เคยเป็นจุดที่ทหารกัมพูชาเคยรุกล้ำเข้ามาวางกำลัง ก่อนจะถอนกำลังออกไป ภายหลังเหตุปะทะที่ผ่านมา
โดยหลังจากทหารกัมพูชาถอนกำลังออกไปแล้ว ฝ่ายไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่ตั้งแต่วันที่ ๑๗ ต.ค.๖๘
พร้อมทั้งได้เสริมความมั่นคงพื้นที่ ด้วยการกวาดล้างทุ่นระเบิด วางเครื่องกีดขวางลวดหนาม และลาดตระเวนต่อเนื่อง
ต่อมาเมื่อ ๙ พ.ย.๖๘ ตรวจพบว่า “แนวลวดหนาม” ที่วางไว้ถูกลักลอบเข้ามารื้อถอน
จากนั้น วันที่ ๑๐ พ.ย.๖๘ เวลาประมาณ ๘.๓๐ น.หน่วยในพื้นที่ จึงได้จัดกำลังชุดลาดตระเวนร่วมกับชุดทหารช่าง เข้าพิสูจน์ทราบ บริเวณแนวลวดหนามที่ถูกรื้อถอน
จนเกิดเหตุ กำลังพลเหยียบทุ่นระเบิด มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน ๔ นาย
- จ่าสิบเอก เทอดศักดิ์ สมาพงษ์ ข้อเท้าขวาขาด
- พลทหาร วชิระ พันธะนา แน่นหน้าอกจากแรงอัด
- พลทหาร อภิรักษ์ ศรีชมไชย ถูกสะเก็ดระเบิดที่ขา
- พลทหาร อนุชา สุจารี ระคายเคืองตา จากสารเคมีของระเบิด
หลังเกิดเหตุ ๑๕.๕๐ น.หน่วยในพื้นที่จัดกำลังร่วมกับชุดตรวจค้น นปท.๓ ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน จังหวัดศรีสะเกษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บึงมะลู
เข้าพิสูจน์ทราบบริเวณจุดเกิดเหตุ ตรวจพบดังนี้
๑.หลุมระเบิดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๕๕ ซม.ลึก ๑๘ ซม. ๑ หลุม
๒.ชิ้นส่วนทุ่นระเบิด PMN-2 อยู่ในหลุมและพื้นที่ใกล้เคียง
๓.ทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมจำนวน ๓ ทุ่น แต่ละทุ่น วางห่างจากหลุมระเบิดประมาณ ๑ เมตร
จากหลักฐานที่ปรากฏ จึงสรุปได้ว่า…..
“ทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นการลักลอบรื้อถอนลวดหนามและเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย”
มีเป้าหมายคือกำลังพลที่ลาดตระเวนเส้นทางอยู่เป็นประจำ
การกระทำดังกล่าว แสดงถึงความไม่จริงใจ ในการลดความขัดแย้งของฝ่ายกัมพูชา
และสะท้อนถึงความเป็นปรปักษ์ระหว่างกัน และขัดต่อปฏิญญาร่วมที่ได้ลงนามไว้อย่างชัดเจน”
เอาละ….
ขอปิดท้ายวันนี้ ด้วยสัจจะสัญญาต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จาก “นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล” ณ ฐานปฎิบัติการอินทุมาน (ภูมะเขือ)
ต่อวิญญานวีรบุรุษนักรบทหารไทยผู้กล้า ผู้ขับไล่ทหารเขมรกระเจิงไป แล้วยึด “ภูมะเขือ” กลับคืนมา ปักธงไตรรงค์ขึ้นเสียดฟ้า สะบัดพริ้ว
ปฎิญญา นายกฯ อนุทินกับประชาชนไทย ต่อหน้าฟ้าดิน ดังนี้
“วันนี้ เราถือว่า สิ่งที่เราได้มีข้อตกลงกันไว้ เพื่อจะเดินไปสู่การมีสันติภาพ มันจบลงแล้ว
จากนี้ไป “รัฐบาลไทย” จะดำเนินการในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทย
เป็นสิ่งที่ประเทศไทยจะทำโดยที่ไม่ต้องไปหารือ ไปปรึกษาหรือขออนุญาตใคร
แต่วันนี้ มันพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ ในเมื่อไม่ใช่ ก็ไม่มีข้อตกลง และเราก็จะทำในสิ่งที่เราเห็นว่า “เราต้องทำ”
เราเป็นประเทศอธิปไตย ไม่รีพอร์ตใครทั้งนั้น ถ้าเขาถามมา ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องตอบ
ผมจะตอบ อย่างเช่นเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ทำหน้าที่ ก็ถามผม ถ้าไม่มีความจำเป็นจะต้องตอบ ผมก็ไม่ตอบ
ดังนั้น วันนี้ เราก็จะดำเนินการตามที่ รมว.กลาโหม ผบ.ทสส.,ผบ.ทบ.,แม่ทัพภาคที่ ๒ และคนที่อยู่หน้างาน “ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี” เห็นชอบ
วันนี้ ผมบอกแล้วว่า รักษาอธิปไตย รักษาเกียรติยศ เกียรติภูมิ รักษาจิตใจของทหาร และพี่น้องประชาชน
ผมมาวันนี้ ก็ขอให้ภาพมันเป็นการอธิบายตัวมันเอง ของหลายอย่างไม่ต้องพูดแล้ว
ผมกับพี่น้องทหาร ไม่ต้องใช้คำพูด ใช้สายตา ใช้แรงบีบกำมือซึ่งกันและกัน เราจะเข้าใจกันดี
ผมมั่นใจว่า “ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี” แรงบีบขนาดนี้คือต้องการให้มันเป็นยังไง!?”
“คำไหน-ต้องคำนั้น” อย่าให้เสียสัจจะ “ลูกผู้ชายชื่ออนุทิน” เป็นอันขาดเชียวนะ!
เปลว สีเงิน
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๘

