ผักกาดหอม
ถามมาเยอะครับ…
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไอติม ถูกใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณาวาระที่ ๒ ซึ่งก็คือชั้นกรรมาธิการนั้น ผลมันจะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยหลังจากนี้
พรรคส้มกำลังได้รับชัยชนะใช่หรือไม่
แล้ว ม.๑๑๒ จะถูกยกเลิกหรือไม่
อย่าเพิ่งตกใจครับ นี่แค่เริ่มต้น
มันมีความเป็นไปได้ตั้งแต่แรกที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไอติมจะถูกใช้เป็นร่างหลัก แต่ก็ยังมีร่างของอนุทินประกบอยู่
เป็นไปตามกลไกลของระบบสภา ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นเรื่องปกติของการพิจารณากฎหมาย หากมีการเสนอร่างกฎหมายเรื่องเดียวกันหลายฉบับ จากหลายพรรค ก็ต้องหาร่างหลักในการพิจารณา แต่ไม่ทิ้งร่างที่ใช้ประกบ
ถือเป็นชัยชนะเล็กๆ ของพรรคส้ม โดยมีพรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน
แต่…หนทางยังอีกยาวไกล
หรือไม่ก็จบลงเร็วกว่าที่คิด
สำหรับ ม.๑๑๒ ไม่เกี่ยวครับ เพราะอยู่ในกฎหมายอาญา แต่อนาคตไม่รู้จะมีการแก้ไขหรือไม่
เกมในสภาเมื่อคืนวันที่ ๑๕ ตุลาคม วางหมากกันหลายชั้น ชนิดพลาดช็อตเดียว คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แดงกับส้ม ผสมพันธุ์กันง่ายกว่า น้ำเงินกับแดง หรือน้ำเงินกับส้ม
อย่างที่บอก นี่แค่เริ่มต้นครับ เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มเติมหมวด ๑๕/๑ เพื่อเปิดทางให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
หลักๆ จึงเป็นเรื่องการตั้งคณะบุคคลเพื่อไปยกร่างรัฐธรรมนูญ
กลับไปดูเนื้อหาในร่างแก้ไขฉบับไอติมอีกครั้งครับ
ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน ๓๕ คน
มาจากการเลือก ๒ ครั้ง
ครั้งแรก ประชาชนได้ออกเสียงเลือกตั้งให้ได้ผู้ผ่านเข้ารอบจำนวน ๗๐ คน จากระบบคล้ายบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีมและใช้เขตเลือกตั้งทั้งประเทศ
จากนั้น ให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ ๓๕ คน แบ่งสัดส่วนตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่อยู่ในสภา
ให้สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๐๐ คน
มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน กำหนดให้แต่ละจังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) มีสมาชิกสภาดังกล่าวอย่างน้อยจังหวัดละ ๑ คน แต่ไม่เกิน ๕ คน ตามสัดส่วนประชากรของแต่ละจังหวัด
มีหน้าที่เป็น “ที่ปรึกษา” ที่รับฟังและรวบรวมความคิดเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อเสนอต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
รวมถึงแจ้งให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะต่อร่างรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ต่างๆ โดยไม่ได้มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยตรง
จะต้องมีเนื้อหาที่สำคัญคือ แก้ไขหมวด ๑ และหมวด ๒ ซึ่งเป็นหมวดพระมหากษัตริย์
แต่ยังคงให้รูปแบบรัฐ เป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ และการให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การออกแบบสถาบันทางการเมือง ให้มีที่มาที่ยึดโยงกับประชาชน ประชาชนตรวจสอบถ่วงดุลได้ และมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
การจำกัดขอบเขตการใข้อำนาจรัฐ การควบคุมมิให้องค์กรของรัฐใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ หรือขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน รวมถึงการวางหลักเกณฑ์ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามฉันทามติของประชาชนหรือผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
นั่นคือสาระสำคัญหลักของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการ
ไปดูว่า กรรมาธิการวิสามัญ ๔๓ คนประกอบด้วยใครบ้าง
สมาชิกวุฒิสภามี ๑๒ คน
เปรมศักดิ์ เพียยุระ, เอนก วีระพจนานันท์, ชวพล วัฒนพรมงคล, ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล, พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์, รัชนีกร ทองทิพย์, กฤษณุ เหลือพิบูลย์กิจ, นรเศรษฐ์ ปรัชญากร, กิตติพันธ์ อนันตกูล, พ.ต.ท.สุริยา บาราสัน, วร หินดี และจำลอง อนันตสุข
พรรคประชาชน ๙ คน
พริษฐ์ วัชรสินธุ, ณัฐวุฒิ บัวประทุม, สหัสวัต คุ้มคง, ปรีติ เจริญศิลป์, อนุสรณ์ แก้ววิเชียร, ภัณฑิล น่วมเจิม, เชตวัน เตือประโคน, รอมฎอน ปันจอร์ และพนิดา มงคลสวัสดิ์
พรรคเพื่อไทย มี ๙ คน
ชูศักดิ์ ศิรินิล, จาตุรนต์ ฉายแสง, ชลน่าน ศรีแก้ว, จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์, สุธรรม แสงประทุม, ประยุทธ์ ศิริพานิชย์, ขัตติยา สวัสดิผล, ก่อแก้ว พิกุลทอง และเอกพร รักความสุข
พรรคภูมิใจไทย ๔ คน
ภราดร ปริศนานันทกุล, กรวีร์ ปริศนานันทกุล, เชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ และแนน บุณย์ธิดา สมชัย
พรรครวมไทยสร้างชาติ ๒ คน
วิทยา แก้วภราดัย และทิพานัน ศิริชนะ
พรรคประชาธิปัตย์ ๒ คน
ชัยชนะ เดชเดโช และทรงศักดิ์ มุสิกอง
พรรคกล้าธรรม ๒ คน
กฤดิทัช แสงธนโยธิน และไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์
กระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ สส.พรรคพลังประชารัฐ
ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ สส.พรรคชาติไทยพัฒนา
ทวี สอดส่อง สส.พรรคประชาชาติ
เสียงข้างมากในกรรมาธิการเทไปทางพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย บวกพรรคประชาชาติ รวม ๑๙ เสียง เกือบครึ่ง
หากได้ สว. ๓ คนเป็นพวก กลายเป็นเสียงข้างมากทันที
ประเด็นที่ต้องจับตาคือ การแก้ไขหมวด ๑ และ ๒ ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยยืนยันมาตลอดว่าไม่แก้ แต่ในการอภิปรายในสภาของ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ล่าสุดระบุว่าต้องแก้ไข เพราะอาจมีประเด็นเกี่ยวโยงมาจากหมวดอื่น
เช่น คุณสมบัติขององคมนตรี
วานนี้ (๑๖ ตุลาคม) บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ให้สัมภาษณ์เอาไว้ถึงข้อกังวลว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนเปิดโอกาสให้แก้หมวด ๑ และหมวด ๒
“…ต้องดูร่างที่สภาผ่านในวาระ ๓ ส่วน วาระ ๑ และ ๒ ไม่สำคัญ เพราะกว่าจะถึงวาระ ๓ จะแก้อะไรก็แก้ได้ หมวด ๑ หมวด ๒ ที่กังวลว่าจะขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ต้องดูร่างสุดท้ายที่สภาลงมติในวาระที่ ๓…”
ถึงตอนนั้นต้องดูพรรคเพื่อไทยจะโหวตเพื่อใคร
แต่…หากมีคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ครั้งนี้ ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีการทำประชามติก่อนว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่
เพราะขณะนี้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่มีการทำประชามติ ครั้งที่ ๑
แบบนี้อาจจบไวครับ.
