เปลว สีเงิน
“ปารีณา ไกรคุปต์”
ซึ่งเป็นคนไทยแท้ๆ บุกรุกป่าสงวนที่ราชบุรี ยังติดคุก ๔ ปี!
แล้วเขมรแท้ๆ ที่ “บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว-ตาพระยา” มันทึกทักเอาแผ่นดินไทยที่ให้อาศัยซุกหัวตอนบ้านแตก เป็น “แผ่นดินของมัน”
แต่เจ้าหน้าที่ไทย กลับไม่กล้าใช้อำนาจตามกฎหมายจัดการกับเขมรพวกนี้!?
นี่มันยังไงกัน จะให้ชาวบ้านเขานินทาว่า…..
“รัฐบาล กองทัพ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ” เก่งกับคนไทย แต่หงอกับพวกเขมร อย่างนั้นหรือ?
แต่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก!
ผมเชื่อ “รัฐบาลอนุทิน” และ “กองทัพ” เขามีแผนเผด็จศึกขั้นเด็ดขาดเตรียมไว้แล้วแน่ เพียงแต่รอจังหวะตามขั้นตอนเท่านั้น
ยังไงๆ ต้องจบภายใน ๔ เดือน
ถ้า ๔ เดือนไม่จบ อนาคตภูมิใจไทย “รัฐบาล ๔ ปี” ก็จบ!
แล้วนี่ไง…เห็นมั้ย…..
เมื่อทาง “ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ ๕” ของเขมร
ตอบกลับเงื่อนไขที่ “พลโทวรยส เหลืองสุวรรณ” แม่ทัพภาค ที่ ๑ ยื่นไปวันก่อน ชนิดกร่างสุดๆ
ว่าที่ให้จัดทำแผนอพยพชาวเขมรออกไปจาก ๓ หมู่บ้านมาเสนอก่อนมีการประชุม RBC ที่บันเตียเมียนเจย ๑๐-๑๒ ตุลา.นั้น
“กูไม่ทำ”…..ประมาณนั้น!
เมื่อกองทัพภาค ที่ ๑ ถูกเขมรลองของเชิงท้าทายกรายๆ เมื่อวาน (๖ ต.ค.) โดย “ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ ๑” ประกาศจุดยืนทันที
“กองทัพภาคที่ ๑ ขอยืนยันว่า หากไม่ได้รับความร่วมมือจาก “ภูมิภาคทหารที่ ๕” ของกัมพูชา เกี่ยวกับการจัดทำแผนการอพยพประชาชนกัมพูชาที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย
การประชุม RBC ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
เนื่องจากไม่มีวาระเพิ่มเติมที่จะนำไปสู่การยุติของปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา”
นี่คือสัญญาน “เอาจริง” ของแม่ทัพภาค ที่ ๑ “พลโทวรยส”
ดังนั้น เส้นตาย “๑๐ ตุลา.” น่าเร้าระทึก!
ว่า “ทหาร-ฝายปกครอง-ตำรวจ-ป่าไม้” จะใช้มาตรการแบบไหน ผลักดันเขมรให้พ้นจากแผ่นดินไทยที่ “บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว”?
ถ้า ๑๐ ตุลา.ไม่ผลักดัน หรือผลักดันเขมรออกไปไม่ได้
ทั้งรัฐบาล ทั้งกองทัพ ต้องเตรียมคำตอบไว้ด้วย
ที่ว่า “จะไม่ยอมเสียแผ่นดินไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” นั้น หมายความว่าอย่างไร?!
ในเมื่อภูมิภาคทหารที่ ๕ ของเขมร มันท้าทาย “อำนาจประเทศไทย” ขนาดนี้แล้ว
“รัฐบาล-กองทัพ” ยอมหรือไม่ยอม ผมไม่แน่ใจ?
แต่ที่แน่ๆ ประชาชนคนไทย “ไม่ยอม” ล้านเปอร์เซนต์!
เป็นสุภาพบุรุษกับโจรนี่ มีแต่เสียเปรียบ ไม่มีอะไรดีเลย
ฉะนั้น อะไรที่ “ชัดเจน-ชอบธรรม” ไม่ต้องไปแคร์เวิลด์ ตบกะโหลกสั่งสอนโจรให้มันรู้สำนึกซะบ้าง
ประชุมกันมา ตาม MOU 43, 44 ตั้งแต่สมัย “นายกฯ ชวน” ต่อด้วย “นายกฯ ทักษิณ” ถึงปัจจถุบัน มีผลคืบหน้า ๒ อย่าง คือ
๑.ตอนประชุม เขมรตกลงหมด
๒.หลังประชุม เขมรละเมิดข้อตกลงทั้งหมด แม้ไทยประท้วงเป็นร้อยๆ ครั้ง มันก็ไม่สน
แล้วจะให้ทำยังไง เมื่อเขมรละเมิดแล้วตีหน้าเศร้าไปฟ้องโลก แต่ไทยที่ถูกละเมิด จะทำอะไรก็กลัว “สังคมโลก” จะประณาม!?
เขมรมันก็เลยได้ใจ ทำนองตีหัวไทยแล้ววิ่งไปแจ้งตำรวจก่อนว่า “ถูกไทยทำร้ายร่างกาย”
ฝ่ายคนถูกตีหัว มัวไปทำแผล ไปแจ้งความทีหลัง กลายเป็นผู้ต้องหาซะนี่ เพราะไอ้คนตีมันชิงไปแจ้งก่อน!
แล้วเราจะยอมให้เขมรตีหัวแล้วรีบแจ้นปั้นเรื่องเท็จไปฟ้องโลกอยู่ร่ำไปอย่างนี้น่ะหรือ?
ต้องอัดมันให้คาตีน แล้วรู้จักไปแจงเหตุต่อสังคมโลกก่อนในฐานะโจทย์ซะบ้าง!
เรื่อง MOU 43, 44 ถามตรงๆ คนไทย ๗๐ ล้านคน มีซัก ๗๐๐ คนมั้ย ที่ได้อ่าน ได้ศึกษาเนื้อหาของ MOU
ผมเอง อ่านน่ะ…อ่านหรอก ทั้ง ๒ ฉบับ แต่ถามว่า เข้าใจถ่องแท้ถึงขั้นชี้ได้ว่าตรงไหนใครได้เปรียบใคร ยอมรับว่า ปัญญาผมยังไม่สามารถทะลุแจ้ง-แทงตลอด
ฉะนั้น ประเด็นแรก ในเรื่องจะทำประชามติ ให้ประชาชนออกเสียงว่า “จะยกเลิก” หรือ “ไม่ยกเลิก” นั้น
ผมว่า รัฐบาลแค่ “โยนหินถามทาง” ในเชิงกลการเมืองมากกว่าจะทำจริงๆ
รัฐมนตรีทั้ง ๓๕-๓๖ คนก็เถอะ ยกเว้น “อาจารย์บวรศักดิ์”
นอกนั้น มีกี่คนที่ได้ศึกษาเนื้อหา MOU ทั้งสองฉบับ จนเข้าใจถ่องแท้
ดังนั้น ถ้าทำประชามติ ก็เท่ากับให้ประชาชน “ใช้อารมณ์และความรู้สึก” แทนความรู้-ความเข้าใจ ในการตอบ
ก็ไม่ต่างให้ “คนตาบอดคลำช้าง” แล้วคำตอบที่ได้ จะถือเป็น “ประชามติ” งั้นหรือ?
เห็นผู้คนสนใจและถกเถียงกันมากในเรื่อง MOU 43, 44 จะเอามาลงให้อ่านก็ยาว
ฉะนั้น เอาอย่างนี้ ผมดูเฟซบุ๊ก iLaw เขามีให้อ่านได้ทั้ง ๒ ฉบับ จึงขออนุญาต iLaw นำเนื้อหาที่โพสต์ไว้เผยแพร่ตรงนี้
…………………………………
MOU 43 44 คืออะไร? เอกสารฉบับทางการหาได้ยากเหลือเกิน MOU ย่อจาก Memoredum of Understanding หรือแปลว่า บันทึกความเข้าใจ
โดย MOU 43 คือ บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำ “หลักเขตแดนบนพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกัน”
และ MOU 44 คือ บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่าด้วย “ความร่วมมือในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล” ซึ่งเชื่อว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากมายมหาศาล
เอกสารทั้งสองฉบับนี้ ไม่ได้มีค่าเป็นกฎหมาย ไม่ได้มีผลผูกพันหรือสภาพบังคับ หากใครฝ่าฝืนก็ไม่มีกลไกที่จะเอาผิดลงโทษกันได้
ไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ไม่ใช่เอกสารที่ประชาชนทั่วไปได้นำมาอ่านหรือนำมาใช้จริงในชีวิตประจำวัน จึงไม่ค่อยมีใครรู้จักรายละเอียดมากนัก
หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือกระทรวงการต่างประเทศ
แต่รัฐบาลชุดใหม่กำลังมีนโยบายที่จะทำประชามติเพื่อถามประชาชนว่า
จะให้ยกเลิกเอกสาร MOU ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2543 หนึ่งฉบับ และที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2544 อีกหนึ่งฉบับ โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาภายในเขียนว่าอย่างไร
“มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์” เคยจัดพิมพ์หนังสือชื่อ ประมวลสนธิสัญญา อนุสัญญา ความตกลง บันทึกความเข้าใจ และแผนที่ระหว่างสยามประเทศไทยกับประเทศอาเซียนเพื่อนบ้าน : กัมพูชา-ลาว-พม่า-มาเลเซีย เอาไว้เมื่อปี 2554
โดยมีเอกสาร MOU ปี 2543 MOU ปี 2544 รวมอยู่ด้วยhttps://textbooksproject.org/…/uploads/books/book_1.pdf…
สามารถค้นคว้าเอกสาร MOU 43 ฉบับเต็ม เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหารายละเอียดได้เองทาง https://www.ilaw.or.th/wp-content/uploads/2025/09/MOU43.pdf
สามารถค้นคว้าเอกสาร MOU 44 ฉบับเต็ม เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหารายละเอียดได้เองทาง https://www.ilaw.or.th/wp-content/uploads/2025/09/MOU44.pdf
มีผู้อ่านใช้นามว่า Tanai Ep คอมเม้นท์ไว้ท้ายเรื่องน่าสนใจ ดังนี้
Tanai Ep
มา…เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง…
ใน MOU 43 ข้อที่ 1 ระบุว่า จะใช้สนธิสัญญาไทยฝรั่งเศส “เป็นสำคัญ”
เขมรใช้แผนที่ 1 : 2 แสน “เป็นส่วนประกอบ”
ในการประชุมครั้งต่อมา ไทยเอามั่ง จึงได้ทำบันทึกความเข้าใจไว้ชัดเจนว่า ไทยยืนยันจะใช้ แผนที่ 1:50000 เป็นส่วนประกอบมั่ง (ตามที่ กต.แถลง )
ในการยกเลิก mou 43 นั้น ไม่ได้ ไปทำให้สนธิสัญญาไทยฝรั่งเศส ที่อยู่ใน MOU 43 นั้นหายไป
เพราะ แม้จะฉีก mou 43 ทิ้งไปแล้ว “ก็ยังต้องยึด สนธิสัญญาไทยฝรั่งเศสอยู่ดี”
ดังนั้น การยกเลิก MOU 43 ก็เท่ากับว่า พวกคุณ ยกเลิกการใช้ แผนที่ มาตรา 1: 2 แสนของเขมร และแผนที่ มาตรา 1: 5 หมื่น ของไทย ไปด้วยเช่นกัน
..เก๊ตยัง
นอกจากนั้น MOU 43 ยังระบุว่า บรรดาความขัดแย้งใดๆ
ต้องใช้การเจรจาแบบทวิภาคีเท่านั้น
คือ “ต้องมาคุยกันสองประเทศ” มือที่สามสี่ห้า ประเทศใดใด “ห้ามเสือก”
ถ้าหมายความให้ลึกไปกว่านั้น คือ “ห้ามเอากรณีความขัดแย้งไปฟ้องศาลโลก”
ถ้าคุณไปฉีก MOU 43 ทิ้ง ก็หมายความว่า….
คุณเป็นฝ่ายเปิดทางให้กัมพูชา เอากรณีเส้นเขตแดนนี้ไปขึ้นศาลโลกโดยไม่ขัดต่อข้อตกลงใดๆ…??
หายโง่ ยัง…
การยกเลิก MOU 43 นี่คือ ความต้องการของฮุนเซน…
ตามที่เคยพูดเอาไว้ในวุฒิสภากัมพูชา
ถ้าคุณยกเลิก ก็เหมือนไปสนองความต้องการของฮุนเซน นั่นแหละ
อีกอย่าง ที่คุณชอบถามว่า MOU ทำไมไม่ผ่านสภา
MOU 43 มันมีขึ้นมาก่อน ที่จะมี รธน .50..ครับ
รธน.50 ที่ระบุว่า การทำสัญญาใดๆ ต้องผ่าน สภา..
“กฎหมาย ไม่มีผลย้อนหลัง” ครับ…
ดังนั้น MOU 43 จึงมีสถานะแค่ “ข้อตกลงความเข้าใจร่วมกัน” ซึ่งไม่ต้องผ่านสภา ก็ได้ครับ
ถ้ามีคนอ้างแบบนั้น คงต้องไปยกเลิกข้อตกลงทั้งหลายในอดีตทั้งหมด ตั้งแต่รัชกาลที่ 3 เลยมั้ง เพราะไม่มีฉบับไหน ผ่านรัฐสภาเช่นกัน…
สำหรับข้อเสนอให้ยกเลิก MOU ของกลุ่มการเมืองบางฝ่ายนั้น รมต.ต่างประเทศ ได้ตอบแบบนิ่มๆ ว่า
“การยกเลิกสามารถทำได้ แต่ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประกาศยกเลิกแล้วจะมีผลทันที”
“สมมติว่าเรายกเลิกไป วันหนึ่งเมื่อจะกลับมาเจรจากันใหม่
สุดท้ายก็ต้องมานั่งตกลงกันเพื่อสร้างกรอบการเจรจาขึ้นมาอีกอยู่ดี
ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับการทำ “MOU ฉบับใหม่”..
แล้วอย่างนี้ พวกที่ เรียกร้องให้ยกเลิก MOU 43 -44 พวกนี้…
มันทำไปเพื่ออะไรกัน ???.
…………………………..
สรุป MOU 43 ว่าด้วยพื้นอ้างสิทธิ์ทับซ้อนบนบก ส่วน MOU 44 ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนในทะเล
กรมแผนที่ทหารบก กับกระทรวงต่างประเทศ มีข้อมูลครบถ้วนและรู้ปัญหาดีที่สุด
คลิกไปอ่าน MOU ทั้ง ๒ ฉบับ กันแล้ว
“ควรเลิก” หรือ “ควรมีไว้” ช่วยบอกผมเอาบุญด้วย!
เปลว สีเงิน
๗ ตุลาคม ๒๕๖๘
