เปลว สีเงิน
เราเคยคุยกันไปแล้วใช่มั้ย ว่า….
จากสิงหา.-กันยา.-ตุลา.ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องปฎิวัติตัวมันเองด้วย “การเมืองใหม่”
ภายใต้ “ระบบรัฐสภา” เดิม!
ย้อนกลับไป ๑๙ ปีที่แล้ว วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นวัน “ระบอบทักษิณ” ถูกโค่นล้มโดย “พลเอกพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน”
อีก ๑๙ ปีต่อมา ทักษิณเดินทางกลับมารับโทษคุก ๘ ปี แต่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ ๑ ปี
ถึงกระนั้น ทักษิณกับแพทย์รพ.ตำรวจ,รพ.ราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่เรือนจำ ทำให้ทักษิณ “ป่วยทิพย์” ไปนอน ชั้น ๑๔ รพ.ตำรวจแทนที่จะอยู่ในคุก
วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๘ ทักษิณต้องกลับเข้าคุกตามคำสั่งศาลฎีกาฯ ๑ ปี หลังจากไต่สวนพยานแล้วพบว่า
“การส่งทักษิณจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ เป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามพรบ.ราชทัณฑ์ และกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังออกนอกเรื่องจำ”
ศาลให้ “ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ” นำตัวทักษิณ กลับเข้าคุกทันที
๑๙ กันยายน ๒๕๖๘ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ทักษิณถูกบิ๊กบังทำรัฐประหารเมื่อ ๑๙ ปีที่แล้ว
ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี อันมี “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี เข้าทำหน้าที่บริหารประเทศแทน “รัฐบาลเพื่อไทย” ของทักษิณ!
แล้วการเมือง “ระบบรัฐสภา” ก็ถูกปฎิวัติด้วยตัวมันเองโดย “ระบบรัฐสภา”!?
คือในขณะที่พรรคประชาชน ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน มีสส.๑๔๓ เสียง มากอันดับ ๑ และพรรคเล็กๆ อีกหลายพรรค
กลับโหวตเสียงให้ “นายอนุทิน” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี ๖๙ เสียง ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๓๒ ด้วยเสียงสนับสนุนสูงถึง ๓๑๑ เสียง!
เป็นนายกรัฐมนตรีแทน “นส.แพทองธาร ชินวัตร” ที่ถูกศาลฯ วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง ฐานประพฤติผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง จากคลิปสนทนากับนายฮุนเซน
โดยนายชัยเกษม นิติสิริ ที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีสส.ถึง ๑๔๑ คน ส่งเข้าชิง กลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากสส. แพ้หลุดลุ่ย!
เป็นอันปิดฉากการเมืองไทยภายใต้ “ระบอบทักษิณ” ที่มีอำนาจคุมประเทศมากว่า ๒๐ ปี!
และเป็นการเริ่มฉากใหม่ในมิติ “การเมืองใหม่” ในระบบรัฐสภา คือ
-รัฐบาลนายกฯ อนุทิน เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จากพรรคร่วมตั้งรัฐบาล แค่ ๑๔๖ เสียง
ในขณะที่ฝ่ายค้าน “พรรคประชาชน + พรรคเพื่อไทย” รวมแล้วร่วม ๓๐๐ เสียง!?
-รัฐบาล “การเมืองใหม่” อยู่ภายใต้อาณัติสัญญา ให้ทำภารกิจเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตั้งสสร.เขียนใหม่และยุบสภาภายใน ๔ เดือนทันที!
นี่ผมค่อยๆ ลำดับความให้ท่านเห็นในแต่ละขั้นตอนของการลอกคราบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาสู่ “การเมืองใหม่”
โดย “ประชาชน” และ “กองทัพ” ไม่ต้องบังคับ-ขับไส!
หากแต่ด้วยเงื่อนไขและกลไกสังคมเป็นธรรมมัน “บีบบังคับ” ให้นักการเมืองระบบรัฐสภาจำต้อง “ปฎิวัติตัวเอง”
ก่อนที่จะถูกประชาชนและกองทัพ “ต้องปฎิวัติให้”
เพราะทนเห็นสังคมชาติล่มจมไปต่อหน้า-ต่อตา ด้วยน้ำมือนักประชาธิปไตยเลือกตั้ง “กินบ้าน-โกงเมือง” ไม่ไหว!
และ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๘ เช่นกัน
ที่ “สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จัดประชุม “คณะผู้บัญชาการทางทหาร” (คบท.)
คือ “ผู้บัญชาการทางทหาร-ผู้บัญชาการเหล่าทัพ” พร้อมด้วย “ผบ.เหล่าทัพ” ชุดใหม่ ที่จะรับไม้ต่อจากชุดเดิม ที่จะเกษียณ ๓๐ กันยา.นี้
ทั้งหมด เป็นเสียงเดียวกันว่า…..
“เขมร” คือภัยคุกคาม “ความมั่นคง” ประเทศ!
ฉะนั้น ในความเป็น “ภารกิจเพื่อชาติและประชาชน” มันเป็นหน้าที่ของกองทัพ ที่แต่ละ ผบ.เหล่าทัพ ต้องยึดปฎิบัติเคร่งครัด
ภายใต้รหัส ๓ คำ “ปิด-สร้าง-สู้” เพื่อกำจัดภัยคุกคามนั้น!
๑. “ปิดจุดผ่านแดนถาวร” และ “จุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา” ให้คงสภาพ “ปิดด่าน” ไปจนกว่า “สถานการณ์จะคลี่คลาย”
หรือเขมร “ไม่เป็นภัยคุกคาม” ต่อไทยอีกต่อไป
๒. สร้าง ปัจจุบัน เขมรยังถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ จึงจัดทำ “รั้วชายแดนไทย-กัมพูชา”
โดยสร้างในพื้นที่เส้นเขตแดนที่ทั้ง ๒ ฝ่ายตกลงกันได้แล้ว ส่วนในพื้นที่ที่ยังไม่ตกลงกันได้ จะใช้มาตรการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจต่อเนื่อง
รวมทั้งให้สร้าง “เส้นทางยุทธวิธี” ตลอดแนว
๓. สู้ คือ ดำเนินการตามกฎการใช้กำลังสากล (ROE – Rules of Engagement) เมื่อการกระทำเข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ หรือเจตนาที่เป็นปรปักษ์
โดยเฉพาะหากเป็นการสอดแนมหรือเตรียมโจมตี ตามกฎการใช้กำลัง สามารถใช้เป็นเหตุ “เริ่มการป้องกันตนเองได้”
โดยได้วางมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ซึ่งแนวทางปฏิบัตินี้ เสนอไปยัง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” แล้ว
สำหรับเรื่อง “สู้” สรุปเป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือ
ตามแนวชายแดน ใช้กำลังทางทหารได้เต็มรูปแบบ ที่พบการลักลอบวางระเบิด บินโดรน และการใช้มวลชนกดดัน
การใช้กำลังต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า “ถูกต้องตามกฎหมายไทย” และ “กฎหมายสากล” ระหว่างประเทศ
พลเอกทรงวิทย์ ผบ.สส.บอกกับนักข่าวหลังประชุมเสร็จว่า
“เรื่องการเปิด-ปิดด่าน เกิดขึ้นภายหลังวันที่ ๖ มิ.ย.๖๘ ที่มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
มีการเสนอให้ “ผู้บัญชาการทหารบก” (ผบ.ทบ.) เป็นผู้ควบคุมตามแนวชายแดน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติทางการทหารหรือการเปิด-ปิดด่าน”
“อำนาจที่มีการพูดคุยกันล่าสุด อยู่ในมือของ ผบ.ทบ.ในการใช้ “กฏอัยการศึก” เปิด-ปิดด่านได้ทุกพื้นที่ ที่ “กองทัพบก” ดูแล
ท่านผบ.สส.ตอบคำถามนักข่าวได้แหลมคมและลึกซึ้งอยู่ตอน คือนักข่าวถามว่า….
“ช่วงเปลี่ยนผบ.เหล่าทัพและเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ จะมีรอยต่อระดับการเมืองและนโยบายอย่างไรหรือไม่?”
พลเอกทรงวิทย์ตอบว่า….
“ไม่ขอก้าวล่วงการเมือง แต่ในระดับกองทัพ “ต้องมีการเชื่อมต่อกัน” โดยคณะผู้บัญชาการทางทหารได้พูดคุย ทั้งผบ.เหล่าทัพ “ชุดเก่าและใหม่” มาร่วมคิด
มติในวันนี้ จะส่งไปยังรัฐบาล ตรงนี้เป็นตัวเชื่อมสำคัญที่สุด
“ตัวเชื่อมที่ท่านมองไม่เห็น คือ “จิตวิญญาณนักรบ”
วันนี้ เราต้องสดุดีคนตัวเล็กๆ ที่มาปกป้องแผ่นดิน
ไม่ว่า ผบ.เหล่าทัพ ฝ่ายเสธ.จะเก่งแค่ไหน
สุดท้ายคนที่แลกด้วยชีวิต ก็คือทหารตัวเล็กๆ ที่อยู่แนวหน้า ซึ่งในที่ประชุมทุกคนรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณทหารทุกคนที่เสียไป ที่ยังอยู่และที่บาดเจ็บ”
ถึงตรงนี้ ท่านเห็นอะไรที่เป็นสัญญานถึง “การเมืองใหม่” ที่ปฎิวัติระบบจิตสำนึก แทนปฎิวัติระบบสภาด้วยกำลังบ้าง?
จำทฤษฎีท่าน “เติ้ง เสี่ยว ผิง” ได้มั้ย ที่ว่า “หนึ่งประเทศ สองระบบ” จนจีนผงาดแซงสหรัฐฯขึ้นเป็นเบอร์ ๑ โลกทุกวันนี้นั่นน่ะ
“การเมืองใหม่” ของไทยตอนนี้ ก็ประมาณนั้น
เศรษฐกิจ การเมือง การค้า การเงิน การสังคม การลงทุนการพัฒนาประเทศ เราบริหารโดยรัฐบาลประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา
ขณะเดียวกัน ด้าน “ความมั่นคง” ของ ชาติ, ศาสน์, สถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชน “กองทัพ+รัฐบาล” บริหารร่วม!
จะเห็นจากปัญหาชายแดนไทย-เขมร
การเมืองระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลก็ว่ากันไป แต่ปฎิบัติการทางทหารในพื้นที่ซึ่งเป็นปัญหาความมั่นคง
กับเขมร ซึ่งเถื่อน-ถ่อย กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ จะใช้ความเป็นสุภาพบุรุษของรัฐบาลไทยทางการทูตไปรับมือบนโต๊ะ มีแต่เสียเปรียบ
ฉะนั้น งานภาคปฎิบัติตามชายแดน ต้องให้เป็นหน้าที่กองทัพเขาจัดการ งานบนโต๊ะเจรจา เป็นหน้าที่รัฐบาล-โดยกระทรวงต่างประเทศ ไปสอนงาน-สอนมรรยาทเขมรถ่อย
แล้วไปดูท่าที “รัฐบาลใหม่” บ้าง ….
ขณะที่ยังปฎิบัติหน้าที่เต็มตัวยังไม่ได้ แต่งานจะขาดคนบริหารในแต่ละขั้นตอนไม่ได้ ดังนั้น ขณะที่เขมร “กวนตีน” ทุกวัน
ถ้าได้ฟัง “นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล” ปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งให้ลูกพรรคภูมิใจไทย ที่ศรีสะเกษ เขต ๕ เมื่อวาน (๒๑ ก.ย.)
ก็จะเห็นมิติการเมืองใหม่แนวประสาน “รัฐบาลกับกองทัพ” จากที่นายกฯ อนุทินหรือ “นายกฯ หนู” พูดว่า……..
“ผมมาบนเวทีนี้หลายครั้ง ยังไม่ให้ ส.ส. ผมสักครั้ง ครั้งนี้ให้ ส.ส.ผมได้ไหม ถือว่า นายกฯ ขอนะ สัญญาแล้วนะ แล้วรับรองว่าเราจะทำทุกอย่าง
วันนี้ มีปัญหามากมาย พวกเราอยากให้ “ปิด” หรือ “เปิดด่าน” “พวกเราบอกให้ปิด”
แล้วแบบนี้ “สุนัขตัวไหนจะกล้าไปเปิด หนูยิ่งไม่กล้าไปเปิดใหญ่เลย”
นี่คือมิติการเมืองใหม่ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ในสภา แต่ “เสียงสนับสนุนข้างมาก” นอกสภา
เมื่อฝ่ายบุ๋นคือ “รัฐบาล” กับฝ่ายบู๊คือ “กองทัพ” ประสานนโยบาย แล้วแยกย้ายกันไปเดินแผนตี
“การเมืองใหม่” ก็จะค่อยๆ ปรับระบบ เปลี่ยนนิสัย พาชาติ-ประชาชนไทยขึ้นจากหล่มการเมือง “เสือเขมือบคนตาบอด” เป็นเหยื่อ ในรอบ ๒๐ กว่าปีซะที!
“ผมได้ทำความเข้าใจกับการทหารแล้วว่า เมื่อได้เข้ารับตำแหน่งฝ่ายบริหารประเทศเมื่อไหร่ ก็จะให้ทหารได้ตัดสินใจเต็มที่
รัฐบาลที่กำลังเข้ามาจะให้การสนับสนุน เคารพการตัดสินใจของฝ่ายการทหาร
ส่วนรัฐบาลจะทำเรื่องการทูตและเงื่อนไขที่ต้องเจรจาต่างๆ ซึ่งต้องมีความชัดเจนว่า “เราไม่ยอมรับเงื่อนไข”
แต่ “เขาต้องยอมรับเงื่อนไขเรา” เท่านั้น จึงจะดำเนินการเรื่องอื่นต่อไปได้
ผมอยากให้มีความชัดเจนในตรงนี้
เพราะที่ผ่านมา มีการคาดคะเนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้นำต่างประเทศโทรมาล็อบบี้ผม
“ผมล็อบบี้ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่มีใครมาล็อบบี้ได้ ผมต้องทำให้กับคนไทย ประเทศไทยเท่านั้น ไม่มีการต่อรองใด ๆ จนกว่าเขาจะรับเงื่อนไขที่เราตั้งไว้”
นี่คือวิสัยทัศน์ “อำนาจในการเมืองใหม่” ของนายกฯ อนุทิน และท่านยังให้ความชัดเจนที่โดรนเขมร บินวนอยู่รอบภูมะเขือว่า
“เรื่องการทหารขอให้ทหารตัดสินใจ อยากปักธงไทยตรงไหน ขอให้ไปปักให้คนไทยได้ชื่นใจ ในที่ที่เป็นของคนไทย
ขอให้ทหารนำแผ่นดินทุกตารางนิ้วที่เขารุกล้ำกลับมาเป็นของคนไทย ผมสนับสนุนเต็มที่”
ส่วนบริเวณพื้นที่หนองหญ้าแก้ว หนองจาน สระแก้ว ที่ยังคงมีเหตุก่อกวน ใช้โล่มนุษย์ของกัมพูชานั้น นายกฯ หนู พูดชัดฟันตรง
“ก่อนคุยอะไรกัน สิ่งเหล่านี้ ต้องถอนตัวออกไปให้หมดเสียก่อน จะไม่มีการเจรจาในระหว่างมีการกดดัน มีการติดอาวุธ มีโล่มนุษย์
ด่านชายแดนจะปิดต่อไป นอกจากนี้ อาจจะเพิ่มมาตรการควบคุมหากทำได้”
ทั้งหมดนี้ คือวิวัฒนาการของ “การเมืองใหม่” ในระบบรัฐสภาเดิม โดย ๓ ประสาน ฝ่ายรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภา ที่มีฝ่ายค้าน+ฝ่ายแค้น เป็นเสียงข้างมาก “คอยล้ม”
และนอกสภา มีกองทัพกับประชาชน เป็นเสียงข้างมากคอยหนุนรัฐบาลที่ฟังเสียงทหารและประชาชนบนผลประโยชน์ชาติ
พอเห็นภาพ “การเมืองใหม่” ในวิกฤตใหม่ที่จะมาให้เห็นใน “เดือนหน้า” กันหรือยัง?
ถ้ายัง “ทหารกับรัฐบาล” ในการเมืองใหม่ จะทำให้เห็นไวๆ นี้แหละ!
เปลว สีเงิน
๒๒ กันยายน ๒๕๖๘
