“เงินหมุนไป-ไหนล่ะงาน?”

“ฝันดี” มา ๒ วัน กับเลข ๒ หลัก
วันนี้………
“ฝันเด่น”ซะแล้ว ต้องถอยกลับไปที่เลข ๓ หลักใหม่ “เดวิดเจียงสา’สุข” แถลงเมื่อวาน (๘ เมย.)
ว่า “การ์ดตกนิดเดียว” โควิดซัดเปรี้ยงเข้าปลายกระโดงคาง ติดเชื้อสดๆ เพิ่มอีก ๑๑๑ ราย

แต่ไม่ต้องวิตกอกคล้อยกันไปหรอก ตัวเลข ๑๑๑ นั้น มวลรวม ทั้งอินเตอร์-โดเมสติก
เฉพาะภายใน วันนี้ก็ยังเลข ๒ หลัก คือพบติดเชื้อแค่ ๖๙ ราย

แต่พอดี มีอิมพอร์ตเข้ามาสมทบ เป็นพี่น้องไทยมุสลิมทางใต้ กลับจากไปร่วมพิธีศาสนาที่อินโดฯ
ติดเชื้อเข้ามา ๔๒ ราย จึงรวมเป็นเลขมงคล ๑๑๑!

ดูแล้ว ทางใต้จะหนักหน่อย………
โดยเฉพาะที่ภูเก็ต ก็อดทนเชื่อฟังมาตรการกันอีกซักระยะ เมื่อ “ภายนอกไม่มีเข้า-ภายในเคร่งครัด” ตัวเลขป่วยก็จะลด

ภาคที่เข้มแข็ง เอาจริงจังระวังโควิด จะเป็นภาคอีสานแต่ละชุมชน, หมู่บ้าน เขาควบคุม ดูแลกันเองดีจังเลย

ฟังหมอ ฟังมาตรการรัฐ ตัวเลขป่วยน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรภาค

และถ้าสังเกต คนพื้นที่ไม่ค่อยมีป่วย ที่มี จะเป็นคนนอกพื้นที่ป่วยกลับไป หรือไม่ก็นำเชื้อเข้าไปปล่อย!
เสร็จรายการนี้แล้ว……
ต้องประกวดผลงานผู้ว่าฯ เป็นรายจังหวัด ไม่ใช่ดูจำนวนคนป่วย-ไม่ป่วยเป็นเกณฑ์

แต่ดูประสิทธิภาพในการบริหาร-จัดการ ด้านศักยภาพสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกให้ทุกภาคส่วนในจังหวัด “ภาครัฐ-ภาคราษฏร์” เข้าถึงสิทธิและอำนาจร่วมในความเป็นประชาสังคม

ตรงนี้ น่าจะเป็นเกณฑ์ในการปรับเลื่อนแต่ละตำแหน่ง ตั้งแต่ปลัดมหาดไทยลงไปถึงปลัดอำเภอโน่นเลย

อีกหน่วยที่เป็นกำลังหลักในพื้นที่ คืออสม. “อาสาสมัครสาธารณสุข” เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตำบล และอบต.ต่างๆ

พูดถึง อสม.มีข่าวเศร้าวันก่อน คือ ……..
อสม. “ทองใส เศรษฐสูงเนิน” ที่บ้านเนินมะเกลือ อำเภอวังทอง พิษณุโลก ออกทำหน้าที่จนหมดแรง เสียชีวิตในที่สุด

พอดีวันก่อน “คุณภักดิพร สุจริตกุล” ส่งเงินมา ๑๐,๐๐๐ บาท บอกไว้ช่วยเหลืออสม.เพราะซึ้งในการอุทิศตนเพื่อส่วนรวมของเหล่าอสม.เหลือเกิน
ผมเห็นเป็นกรณีสมควร จึงโอนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทเข้าบัญชี “นายลอย เศรษฐสูงเนิน” ผู้เป็นสามีแล้ว เมื่อ ๗ เมย.

ตอนนี้ วัดดวงกันอย่างเดียว ว่าจะตรึงตัวเลขป่วยไว้ที่ระดับ ๒,๐๐๐ หรือจะทะลุไปถึงระดับ ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐

“ข้างใน” ไม่น่าห่วง ตรึงได้แล้ว
แต่ที่เดินทางกลับเข้ามาจากต่างประเทศคือ “จาก” ข้างนอก” นั่นแหละ เป็นปัจจัยเปลี่ยน

และกลุ่มพิธีกรรมทางศาสนา ควรต้องได้รับการดูแลป้องกันที่สุด!

แต่ถึงยังไง ดูเขา-ดูเราแล้ว ทั้งโลก ทั้งภูมิภาค ๒๐๐ กว่าประเทศขณะนี้ ไทยเราควบคุมสถานการณ์โควิด ได้น่าพอใจชนิด “โลกอิจฉา”

ในภาวะ “ไวรัสล้างโลก”
มันเป็นไปไม่ได้ ที่เราหรือใคร “ประเทศเดียว” จะไม่ป่วย และก็เป็นไปไม่ได้ ท่ามกลางการระบาดทั้งโลก เราประเทศเดียว จะสามารถป้องกันการระบาดไว้ได้

แล้วเราควรทำอย่างไรในสถานการณ์ รุกไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้เช่นนี้?

คำตอบง่ายที่สุด ทุก “ทฤษฏี-ตำรา” ในโลก รากฐานมาจากธรรมชาติ

ฉะนั้น ดูและเรียนจากธรรมชาติซี!
ทะเล เกาะแก่ง ของเราตอนนี้เป็นไง เมื่อเทียบกับตอนคึกๆ คนมาเที่ยว ๒๐-๓๐ ล้าน?

คำตอบ คือ เมื่อทะเล เกาะแก่ง “ว่างคน” ธรรมชาติก็จัดสรร ฟื้นฟูตัวเอง จากโทรมทรุด คืนสดใส ฝูงปลาน้อยใหญ่อุดมสมบูรณ์
เต่าที่ร้างหาดมานานปี ก็โย้กระดองกลับมาวางไข่!

ฉันใด ก็ฉันนั้น…….
รัฐบาลไม่จำเป็นต้อง “เทไปหูเดียว” ที่โควิด ถือโอกาสนี้จัดแผน “แบ่งคน-แบ่งหน้าที่” ออกไปฟื้นฟูประเทศ
แก้ไข ปรับแต่ง ซ่อมแซม ตรวจ-วิเคราะห์ แผนภูมิกันให้ถ้วนทั่ว โดยเฉพาะแต่ละในแถบถิ่นชนบท

เอานักศึกษา เอาปราชญ์ชาวบ้านร้านถิ่น นักวิชาการเพื่อบ้านเมือง มาร่วมดู-ร่วมคิด-ร่วมทำกัน

เงินมีแล้วเป็นล้านล้าน
เปลี่ยนจากแจกตะพึด เอามาจ้างกลั่นสมองคิด จ้างงาน, จ้างคน ให้เงินกระจายตามงาน ตามแผน ตามตีนลุย ไม่ใช่ตามแอป อย่างเดียว

แบบนั้น เงินจะถึงตัวบุคคลเป้าหมายมากกว่า เหมือนทายาตรงแผล ซึ่งจะได้ “ใจร่วม” เป็นทุน “สังคมรวม”

ต่างกับแอป สิ่งตอบแทนที่ได้ คือ การแลบลิ้นหลอกแผล็บๆ อย่างที่เห็น

“สปอร์ต กทม.” แจกแหลกออนไลน์ คนละ ๕,๐๐๐ นาน ๖ เดือน นั่นน่ะ
เสียงตอบจากคนสุ่มรับแจกเขาว่าไงกันบ้างล่ะ ก็ฟังดูซี นี่ไง….

“๕ พันเข้าบัญชีแล้วค่ะ ก็แค่เศษเงินหลังตู้เย็น”

“ไอ้ควายที่ไหนไม่รุ โอนเงินมาให้ ๕๐๐๐ เพื่อด่าสลิ่มต่อ…เฮ้อ สงสัยจะเป็นไอ้ควายประยุ……”

“โกหกไป เสือกได้เฉย”

“ขอบคุณสำหรับค่าโบท็อก”

นี่แหละ คำสนองคุณเงิน ๕ พัน จากแจกครอบจักรวาลบางราย ได้แล้ว โพสต์รูปตัวเองสวมสร้อยเส้นเท่าหัวแม่ตีนเย้ยซะอีก!

แล้วไอ้พวกเร่ร่อนเป็นอาชีพ ตามสวนลุมฯ หัวลำโพง นั่นเหมือนกัน ไม่ต้องไปโอ๋ เอาอก-เอาใจ เอาเงิน เอาข้าวไปให้หรอก

พวกนี้ ไม่ใช่เร่ร่อนเพราะไร้อาชีพ จึงยากจน
ไม่ใช่เลย……
เพราะมันขี้เกียจ ไม่ต้องการทำงาน ยึดเร่ร่อนเป็นอาชีพหลัก เขารู้กันทั้งเมือง มีแต่นักการเมืองเท่านั้นไม่รู้ แล้วไปเลี้ยงดูมัน

เสียดายเงิน เสียดายของ แถมเป็นการสนับสนุน-ส่งเสริมอาชีพเร่ร่อนให้หนักสังคมเข้าไปอีก

เห็นคุณยาย อายุ ๗๐-๘๐ ผอมเหลือแต่กระดูก เหนื่อยอ่อน นอนฟุบคากองผักข้างถนน ที่ว่อนโซเชียลมั้ย?

นั่นแหละ แบบนี้ พัฒนาสังคมควรไปดู ไปช่วย ไปคบประหงม สร้างทัศนคติให้คนรู้ “ช่วยทุกคนที่ช่วยตัวเอง”

ไม่ใช่ช่วยพวก “ถ่วงสังคม” ที่ยึดร่อนเร่ สุมหัวกันอยู่ ขายความทุเรศแลกเงิน มันอาจเป็นทรัพยากรของนักการเมืองใช้สร้างภาพ แต่กับสังคมชาติ มันไม่ใช่

พวก “อยากจน” พวกจนเพราะไม่ยอมเหนื่อย เอาแต่ขอเขากิน แบบนี้
จะปิดเมือง จะเคอรฟิว ไม่เป็นประเด็นด้าน “ตกงาน” ที่ต้องช่วย เพราะมันตกตลอดชาติอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปโอ๋ ไปแจก จับใส่รถไปเข้าค่ายเลย

แจกจอบคนละอัน ให้มันขุดดิน ลอกหนอง, คลอง, บึง, ไปดับไฟป่า แล้วค่อยให้มันกิน แบบนี้ จึงจะเป็นการพัฒนาสังคมที่เข้าท่า

คนทำมาหากิน แล้วลำบากตอนนี้ นี่ช่วยเขา แต่คนไม่ทำมาหากิน แบมือขอ-นอนรอกิน แบบนี้ ไปช่วยมันทำไม?

กทม.เอาผ้าขี้ริ้วยัดมือให้มันคนละผืน แล้วให้เดินเช็ดถูราวสะพานลอย ลอกคลองในสวมลุมฯ กวาดขยะหัวลำโพง ปัดกวาดป้ายรถเมล์ แบบนี้ ค่อยเป็นยาจกเลี่ยมทองหน่อย

วันนี้ กะว่าจะคุยเรื่อง “แท็บเล็ต” เปิดเทอมการศึกษา ปี ๖๓ นี้ ปกติต้องเปิดเดือนพฤษภา.

แต่ปีนี้ ด้วยปัญหาโควิด ครม.มีมติเลื่อนให้ไปเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง เดือนกรกฏา.

ท่านรัฐมนตรีศึกษา “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” เกริ่นว่า อาจต้องซื้อแท็บเล็ตแจกนักเรียนทั่วประเทศ เพื่อการศึกษาทางออนไลน์

ผมขอยกมือค้านไว้ก่อนเลย!
เราฉิบหายเพราะแท็บเล็ตมาพอแล้ว ทุกวันนี้ มีช่องทางเรียนและสอนโดยไม่ต้องใช้แท็บเล็ตเยอะแยะ

พรุ่งนี้หรือว่างวันไหน จะบอกว่าช่องทางไหน แต่วันนี้ บอกด้วยรักฝากไว้ก่อน

อย่าไปเชื่อพวก “มาเฟียกระทรวง” เชียว!

Written By
More from plew
“วัว-ควายต้องต้อน-คนต้องนำ”
“เรามีเวลาซ้อมใหญ่ มา ๒ เดือนแล้ว ขณะนี้ ทุกคนจะต้องทำจริง ไม่มีการซ้อมอีกแล้ว” -ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ๑๕ มีค.๖๓
Read More
0 replies on ““เงินหมุนไป-ไหนล่ะงาน?””