พริษฐ์ “ที่แสนน่าระอา” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

“นายพริษฐ์ วัชรสินธุ” นี่
ถ้าเป็นดอกไม้ ก็เป็นดอกไม้พลาสติก มีสี มีฟอร์ม
แต่…ไม่มีกลิ่น!
จึงแห้งแล้ง ไม่มีเสน่ห์ ไร้ราคา ค่าแค่มาลัยพลาสติกสวมจอมปลวก ไม่มีวาสนาขึ้นหิ้งบูชาพระ หรืองามสง่าคู่แจกันห้องรับแขก

หรือถ้าเป็นม้าแข่ง
ก็เป็น “ม้าพันทาง” วิชาความรู้ปรัชญาการเมืองตามกากตำราฝรั่งเป็น “กระบังตา” สวม

ก็ไม่เห็นซ้าย-ไม่เห็นขวา เข้าใจว่า โลกนี้ มีแต่ข้างหน้าเป็นทางไปทางเดียวตามตำราบอก ก็วิ่งทื่อตะบึงตรงไป

หมายถึงว่า อะไรที่ผิดไปจากตำรากูเรียน มันไม่ใช่…มันต้องผิดไปทั้งหมด!

ดูๆ ไปก็น่าเวทนา…
ยิ่งเห็นออกมายืนตาแข็งเหมือนตาปลาแช่น้ำยาตามห้องเย็น ท่องตำราประชาธิปไตยว่ากล่าว
เสนอ “๗ แพ็กเกจ” แก้รัฐธรรมนูญเมื่อวาน (๒๖ ก.ย.๖๗) นี้ด้วยแล้ว

ต้องร้องว่า…เฮ้อ!

เป็นอะไรมากมั้ย คุณไอติม ถ้าไม่ไหวกับการแบกตำราละก็ ดื่มนม แล้วกินยานอนพักซะบ้างก็ดีนะ

คุณตั้งค่ามาตรฐานว่า กฎหมายที่มาจาก สส.-สว. “ระบบรัฐสภา” เท่านั้นที่เป็น “ประชาธิปไตย” ยึดโยงประชาชน
นอกนั้น ไม่ใช่…ไม่เป็นประชาธิปไตย

เช่น กฎหมายยุคคสช. หรือยุครัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

คุณปฎิเสธ “รังเกียจ-ไม่ยอมรับ” ทั้งหมด!
พร้อม “สวมกระบังตา” ฝรั่ง ชี้เป็นทางที่พรรคส้มจะชักลากไปเมื่อวาน ว่า

“พรรค ปชน.ยืนยันมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย
ทั้งที่มา กระบวนการ และเนื้อหา

ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องเดินหน้า ๒ เส้นทางแบบคู่ขนาน นั่นคือ

-การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด โดย สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด กับอีกเส้นทาง คือ

-การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในประเด็นที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน

พรรคปชน.จึงนำเสนอแนวคิด, ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยแบ่งชุดประเด็นออกเป็น ๗ แพ็กเกจ

แพ็กเกจที่ ๑  “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร
แพ็กเกจที่ ๒ “ตีกรอบอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ, องค์กรอิสระ
แพ็กเกจที่ ๓ “เพิ่มกลไกตรวจสอบการทุจริต”
แพ็กเกจที่ ๔ “คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน”
แพ็กเกจที่ ๕ “ปฏิรูปกองทัพ”
แพ็กเกจที่ ๖ “ยกระดับประสิทธิภาพรัฐสภา”
แพ็กเกจที่ ๗ “ปรับเกณฑ์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
ฮึ่ๆ…

ฟัง “ประชาธิปไตย” ที่พริษฐ์ยกเทิดทูนเป็นประทีปไร้แสงนำทางมืดบอดแล้ว

นึกถึง “นิทานธรรม” ของหลวงปู่ชา “พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี

ท่านพูดฝรั่งไม่ได้ซักคำ….
แต่ท่านนำพุทธธรรมไปสอนฝรั่งในยุโรป ในสหรัฐฯ ในเอเซีย จนมีคน “ต่างชาติ-ต่างภาษา” ทั้งฝรั่งและคนเอเซีย ขอบวชเป็นพระ

มีวัดและสำนักสงฆ์ในสายหลวงปู่ชาเกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ แห่ง

“หลวงปูชา” เป็นพระผู้เผยแพร่คำสอนพระพุทธองค์ไปยังตะวันตกเป็นรูปแรกๆ ก็พูดได้เช่นนั้น

จนทุกวันนี้ พระพุทธศาสนาไปตั้งมั่นในยุโรปชนิด “เคร่งครัด-มั่นคง” ด้านปฎิบัติมุ่งตรง “แก่นพุทธธรรม” ยิ่งกว่าตามวัดในเมืองไทยหลายๆ แห่งด้วยซ้ำ

เคยมีคนนำเรื่องการเมืองไปถามและแสดงทัศนะเกี่ยวกับประชาธิปไตยกับ “หลวงปู่ชา”

พุทธศาสนา เป็นศาสนาของคนมีปัญญา

ฉะนั้น “หลวงปู่ชา” ท่านจะไม่สอนคนตรงๆ แต่จะสอนผ่านอุปมา-อุปมัยเป็น “อุบายธรรม” ให้คนฟังใช้ปัญญาแทงทะลุเอาเอง

อย่างกรณีโยมผู้นี้….
เข้าไปกราบหลวงปู่แล้ว พูดว่า

“หลวงพ่อครับ ผมว่ามีประชาธิปไตยก็ดีนะครับ ผู้คนจะได้เคารพในการตัดสินใจของคนหมู่มากเป็นหลัก”

“มันก็ไม่ถูกต้องเสมอไปหรอกโยม” หลวงปู่ชาท่านว่า โยมก็ย้อนถามว่า “ไม่ถูกต้องยังไงครับ?”

หลวงปู่ชา ท่านก็กล่าวเป็นอุบายธรรมว่า….

“ยกตัวอย่างมีแมลงวัน ๒๐ ตัว มีแมลงผึ้ง ๑๐ ตัว แมลงวัน ๒๐ ตัวบอกว่า “อุจจาระหอมหวาน อร่อยดี”

แต่แมลงผึ้ง ๑๐ ตัว บอกว่า “น้ำผึ้งหอมหวาน อร่อยดี”

ถ้าพูดตามหลักประชาธิปไตย “แมลงวัน” ชนะ “แมลงผึ้ง” เพราะ “คะแนนเสียง” มากกว่า

แมลงผึ้งแพ้ เพราะคะแนนเสียง “น้อยกว่า”

เราเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็น “สัตว์ประเสริฐ” มีปัญญามากกว่าสัตว์เหล่านั้น เราควรจะเชื่อใครดี?”

“นิทานธรรม” เรื่องนี้ มีเผยแพร่ทั่วไป ผู้มีปัญญาก็จะตีความปริศนาธรรมนั้นเข้าใจ ตามที่หลวงปู่ยกเรื่องแมลงวันกับผึ้งเป็นอุปมา-อุปมัย

หมายถึง “การตัดสินด้วย “หลักประชาธิปไตย” บางครั้งก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ถ้าไม่เอาหลัก “ธรรมาธิปไตย” เข้าไปตัดสิน”

แล้วพริษฐ์ ….คุณเป็น “ผึ้ง” หรือ “แมลงวัน” ล่ะ?

ดีกรี “ปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์” เหรียญทอง ออกซฟอร์ด มีปัญญาแยกแยะได้แน่!

แต่ในการแยกแยะ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจ “สถานะ” ให้ชัด ว่าเราเป็นแมลงวันหรือผึ้ง
หรือเป็นคนใน “สถานะ” มนุษย์”?

เมื่อรู้สถานะ พริษฐ์ ก็คือ “สัตว์ประเสริฐ” ต้องมีปัญญามากกว่าสัตว์แน่นอน

ฉะนั้น ไหน “ประชาธิปไตย” หรือ “ไม่ประชาธิปไตย” ต้องเข้าใจว่าจะชี้ขาดด้วยมือในระบบรัฐสภา “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง” หรือในระบบ “เผด็จการประชาธิปไตย” ตายตัวไม่ได้
ต้องใช้ “ธรรมาธิปไตย” เป็นเครื่องตัดสินชี้ขาด!

นี่ไม่ใช่เอะอะ ผมลากเข้าวัดนะ
ต้องเข้าใจ “ธรรมะ” คือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่มีอะไร “เป็นอยู่อย่างนั้นนิรันดร์”

หรือพูดอีกที “ความหมุนเวียน-เปลี่ยนแปลง” นั่นแหละนิรันดร์

ทุกสิ่ง ประกอบด้วยกาล ด้วยเวลา ด้วยสถานะ เมื่อถึงพร้อมแล้ว มันหมุนเวียน-เปลี่ยนผัน จากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง ตามเหตุ-ปัจจัย ที่มันต้องเป็นด้วยตัวของมันเอง

พริษฐ์ไม่ต้องเป็น “จอห์น ล็อก” บิดาแห่งประชาธิปไตยในศตวรรษที่ ๒๑ หรอก
เป็นแฟน “ออนล็อกหยุ่น” ดีกว่า….

ไปนั่งกิน breakfast ที่นั่นบ่อยๆ จะเป็นหนทางสร้างสมประสบการณ์ประชาธิปไตย จาก “หลายชีวิต-หลากรุ่น”

บางที การได้สัมผัสวิถีประชาธิปไตยไทยแท้ๆ อาจทำให้ “ดอกไม้พลาสติก” มีกลิ่นหอมขึ้นมาก็ได้

ทฤษฎี-หลักการตามตำรา นำมาชี้ขาด “ประชาธิปไตย-เผด็จการ” โดดๆ ไม่ได้หรอก

มันต้องประกอบด้วย “ประสบการณ์” เพราะสังคมหนึ่งๆ มีทั้งประชาชนผึ้ง ทั้งประชาชนแมลงวัน

ฉะนั้น บางเรื่องจะใช้ “จำนวนมาก” ถือเป็นประชาธิปไตย นั่นมันหลักการ “พลเมืองแมลง”
มันไม่ถูก-ไม่ชอบชอบธรรมตามหลัก “พลเมืองมนุษย์”

อย่างจะเขียนกฎหมายให้ง่ายต่อการแยก “ราชอาณาจักร” ไปเป็นสาธารณรัฐ
เขียนกฎหมาย ไม่เน้น “ศีลธรรม-จริยธรรม” ให้เข้าง่าย กินง่าย-โกงง่าย-อยู่ง่าย

แค่ “มือมาก” ในระบบสภายกให้ ก็หมายความว่า เหล่านั้น เป็นประชาธิปไตยถูกต้องแล้ว

ถูกตามประชาธิปไตยแมลงวันละก็ใช่
แต่มัน “ไม่ถูกต้อง-ไม่ชอบธรรม” ตามประชาธิปไตยมนุษย์ ที่ต้องมี “ธรรม” เป็นแกนในกฎ-กติกาสังคม

พริษฐ์ ว่า กฎหมายที่มีขณะนี้ “คสช.เขียน” ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้งทั้งหมด

ถ้าอย่างนั้น…..
ระบอบประชาธิปไตยที่ “คณะราษฎร” สถาปนาเมื่อ ปี ๒๔๗๕ ก็ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้ง เพราะไม่ได้มาตามระบบรัฐสภา

หากแต่มาจาก “คณะราษฎร” ใช้กำลังไปปล้นพระราชอำนาจจาก “พระมหากษัตริย์” มา

นั่นเท่ากับคณะราษฎร เป็นเผด็จการ!

และที่พริษฐ์บอก “รังเกียจ-ปฎิเสธ” ทุกกฎหมาย-ทุกคำสั่งของคสช.ต้องยกเลิก เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงประชาชน

งั้น พริษฐ์และพรรคส้ม ต้องพ้นสภาพสส.ไปวันนี้เลย

เพราะ พวกคุณทุกคน ถือกำเนิดมาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ ที่ให้มีเลือกตัง เมื่อรังเกียจ ให้ยกเลิกกฎหมายนั้น

สส.พวกคุณและพรรคส้ม ก็ไม่มีกฎหมายรองรับ เป็นสส.ไม่ได้แล้ว!

เห็นมั้ย พริษฐ์… “ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด” การพูดเอาเท่ ขาดประสบการณ์โลกจริง แยกเหตุ-แยกผล ไม่ได้ ก็ฉิบหายตัวเอง

อย่าคิดต่ำกว่าหนอนในถังขี้เลย…พริษฐ์

หนอน กินขี้เลี้ยงชีวิต มันรู้บุญคุณ มันไม่เคยเนรคุณถังขี้

แต่พริษฐ์ เป็นมนุษย์ มีสมองคิดด้วยจิตสำสึกเหนือหนอน ฉะนั้น อย่าบ้า “ประชาธิปไตย-เผด็จการ” โดยไม่รู้จักแยกแยะด้วยเหตุและผลให้มากนัก

จะปฎิรูปกองทัพ เลิกเกณฑ์ทหาร มีสงครามค่อยเกณฑ์

พริษฐ์…หิวข้าวตอนไหน ค่อยไปทำตอนนั้น อย่างนั้นหรือ?

นี่ถ้าวันนี้ไม่มีทหารละก็นะ
พริษฐ์และคณะส้มต้องไปโกยเลนให้ชาวบ้านที่แม่สายแทน…เอามั้ย?

กลับบ้าน อาบน้ำ ประแป้ง แล้วกินนมนอน ซะไป…พริษฐ์?!

เปลว สีเงิน
๒๗ กันยายน ๒๕๖๗

 

Written By
More from plew
เรียกว่า “มากับความมืด” – เปลว สีเงิน
คลิกฟังบทความที่…? เปลว สีเงิน “ม้าพิธา” กับ “ม้าอุ๊งอิ๊ง” “ค่ายเดียวกัน” แต่แยก ๒ คอก เป็น “คอกส้ม-คอกแดง”...
Read More
0 replies on “พริษฐ์ “ที่แสนน่าระอา” #เปลวสีเงิน”