“๓ หนุ่ม ๓ มุม” จนมุม – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ออกแนว “หนังยาว” ครับ!
ทั้งเรื่อง “ยุบพรรค “ก้าวไกล” ตัดสิทธิการเมืองนายพิธา”

กรณีเสนอร่าง “พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา” เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒
โดยใช้เป็น “นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง”

ซึ่งเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้าง “การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

เข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็น “ปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ” อันเป็นเหตุยุบพรรค

และทั้งเรื่อง “จริยธรรมนายกฯ” กรณี นายเศรษฐาแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรมต.สำนักนายกฯ

ทั้งๆ ที่รู้ หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิตขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุก ๖ เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

เป็นบุคคลที่กระทำการอันมิซื่อสัตย์ และมีพฤติกรรมอันมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ

เพราะเมื่อวาน (๑๒ มิ.ย.๖๗)
ทั้ง ๒ เรื่อง ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ “ยื่นบัญชีระบุหลักฐาน” ภายในวันที่ ๑๗ มิ.ย.ทั้งคู่

เปิดพิจารณาคดีต่อ ในวันที่ ๑๘ มิ.ย.เหมือนกันทั้งคู่ โดยมีรายละเอียดในคำสั่งแตกต่างกันเล็กน้อย

กรณี “ยุบพรรค” ศาลฯสั่งกกต. “ผู้ร้องให้ยุบพรรค” ยื่นบัญชีพยานหลักฐานต่อศาลฯ
แต่พิธา-ก้าวไกล “ผู้ถูกร้อง” ศาลฯ ไม่ได้สั่งให้ยื่น

แสดงว่า “พยานหลักฐาน” แก้ข้อกลาวหาจากทางฝั่งก้าวไกล เพียงพอแล้วในการการพิจารณาวินิจฉัย

ฉะนั้น ๑๘ มิ.ย.หลังศาลฯ ได้รับบัญชี “พยานหลักฐาน” จาก กกต.แล้ว ก็พอรู้ ว่าคดีนี้จะตัดสินช่วงไหน จากตารางวันนัดไต่สวนพยาน

“พิธา-ก้าวไกล” จะอยู่-จะไป
น้ำหนักอยู่ที่ กกต.แล้วหละตอนนี้ ว่าจะมีพยานหลักฐานหักล้างประเด็นที่พิธา-ก้าวไกลโต้แย้งตั้ง ๗๐-๘๐ หน้าได้แค่ไหน?

๕ เสือกกต. จะเป็น “เสือลายพาดกลอน” หรือเป็น “แมวลายเสือ” พิสูจน์กันได้ ก็งานนี้แหละ!

ส่วนคดี “นายกฯเศรษฐา”
ศาลฯ สั่งให้ “คู่กรณี” คือ ๔๐ สว. “ผู้ร้อง” และเศรษฐา “ผู้ถูกร้อง” ยื่นบัญชี “ระบุหลักฐาน” ภายในวันที่ ๑๗ มิ.ย.ด้วยกันทั้งคู่

แบบนี้ เป็นฟอร์มหนังใหญ่ ชนิดต้องใช้เวลาฉาย ๓ ชั่วโมง

ที่น่าสนใจ การเปิดไต่สวน จะเป็นการปะทะฝีมือแง่มุมกฎหมายกันระหว่างดาราผู้ยิ่งใหญ่ ๒ ฝ่าย
คือ “ฝ่าย ๔๐ สว.VS ฝ่ายเนติบริการ”!

ได้รู้กันละ กฎหมายมาตราเดียวกัน วรรคเดียวกัน คำเดียวกัน ๔๐ สว.จากสถาบันนิติบัญญัติ กับผีโม่แป้งจากสำนักแม้ว ที่เนติบริกรเป็นกุนซือ

ฝ่ายไหนจะมีลีลาเหลี่ยมเชิงหักล้างอีกฝ่ายได้ เป็นที่เข้าตากรรมการคือ “คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” เหนือกว่ากัน!

ทั้ง ๒ เรื่องนี้ จับยามสามตาแล้ว…ช้าสุด
ไม่น่าเกิน “กลางกันยา.” มีคำตอบ เป็นผลสรุป ทั้งในสภาและในทำเนียบ!!!

๑๘ มิถุนา.นี่ เป็นวัน “ประชัน ๑๘ มงกุฎ” ยังไง ก็ยังงั้น

เพราะนอกจากเรื่องยุบสภา เรื่องนายกฯ ผิดจริยธรรม

ก็เป็นวัน “เปิดกล้อง” เรื่องความผิดตามมาตรา ๑๑๒ นำแสดงโดยดาราผู้ยิ่งใหญ่นามว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ศาลอาญา

อัยการนัดนำตัวส่งฟ้องต่อศาล วันที่ ๑๘ มิ.ย.ด้วย!
แรกๆ ลุ้นกันแต่ว่าทักษิณจะไปศาลตามนัดหรือไม่ไป?

ต่อมา เปลี่ยนจากลุ้นเป็นต่อรอง ทักษิณหนี-ไม่หนี?

แต่อีก ๖ วันที่เหลือ หลังจากทักษิณดิ้นอีกเฮือก ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ อสส.ให้เลื่อนการส่งฟ้องออกไปก่อน

ก็มี “ทั้งลุ้น-ทั้งต่อรอง” ส่วนใหญ่ น้ำหนักไปทาง “ไม่เลื่อน”

ผมก็ว่างั้น!

หลายเสียงอ้าง ไม่มีกฎหมาย-กฎระเบียบไหนบอก ห้ามไม่ให้ร้องขอความเป็นธรรม

ก็ใช่…ยื่นได้-ร้องได้
แต่ “ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด” ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๖๓ บอกว่า

“การร้องขอความเป็นธรรม หากเป็นประเด็นที่ผู้ร้องเคยขอความเป็นธรรมและพนักงานอัยการได้เคยพิจารณาไว้แล้ว หรือมีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้ล่าช้ำ

ให้ทำบันทึกข้อความเสนอความเห็นพร้อมเรื่องร้องขอความเป็นธรรมและสำเนารายงานการสอบสวน
เสนอตามลำดับชั้น ถึงอธิบดีอัยการ พิจารณาสั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรมนั้น”

ดูตามนี้ ทักษิณร้องขอความเป็นธรรมไปครั้งหนึ่งแล้ว และนี่ ร้องซ้ำในประเด็นเดิมๆ อีก

เช่น ร้องว่า ข้อความตัดต่อบ้าง คณะกรรมการสอบสวน ถูกรัฐบาลคสช.ข่มขู่ทำสำนวนบ้าง เป็นการร้องเพื่อประวิงเวลาชัดๆ

ผมว่า “อธิบดีอัยการ” สั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรมแน่ ๑๘ มิ.ย.ทักษิณต้องไปพบอัยการตามนัด เพื่อให้อัยการนำตัวไป “ส่งฟ้องศาล”

อีกอย่างหนึ่ง ตาม “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” มาตรา ๑๔๓ บอกว่า

“เมื่อพนักงานอัยการพิจารณาแล้วมีคำสั่ง “ฟ้องคดี”
คำสั่งนี้ เป็น “คำสั่งเด็ดขาด” ไม่อาจมีผู้ใดโต้แย้งได้!”

ในเมื่อ อสส. “สั่งฟ้อง” ไปแล้ว
“คำสั่งเด็ดขาด” จะไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้ กฎหมายระบุ

ทุกคนคงเข้าใจ คำว่า “เด็ดขาด” หมายถึงอะไร?

ถ้า อสส.ไปสั่งใหม่ เท่ากับไปโต้แย้งคำสั่งเดิม ก็จะเกิดคำถามขึ้นว่า

“คำสั่งเด็ดขาด” หมายถึงการ “ชักเข้า-ชักออก” ได้ตามแรงโน้มถ่วง “วัตถุอนามาส” อย่างนั้นหรือ?

ฉะนั้น ผมฟันธงเป็นครั้งที่ ๒ ด้วย ๓ ไม่

ไม่เลื่อน,ไม่รับคำร้อง และไม่สั่งคดีใหม่

คดีทักษิณ เข้าข่ายผิดตามมาตรา ๑๑๒ “สั่งฟ้อง” ตามเดิม!

ประเด็นที่ร้องของความเป็นธรรมได้ใหม่ ต้องมีหลักฐานใหม่แสดง นอกเหนือจากที่มีอยู่ในคดีเดิม

คดีที่พนักงานอัยการสั่ง “ไม่ฟ้อง” โดยไม่ใช่ “อัยการสูงสุด” เป็นผู้สั่ง

กรณีนี้เท่านั้น ตามกฎหมายเขามีวิธีเป็นช่องทางให้ปฎิบัติเป็นขั้นตอนอยู่ เราอย่าไปเป็น “อัยเกิน” เลย ปวดหัวเปล่าๆ

สรุป….
อังคารที่ ๑๘ มิ.ย.เรื่องยุบพรรคก้าวไกลและเรื่องนายกฯ เศรษฐา อยู่ในขั้นตอนไต่สวนทวนความ ยังไม่ตัดสิน

เรื่องทักษิณเท่านั้น ที่มีลุ้น
ลุ้นว่า จะสู้หรือจะหลบ!

ยิ่งวานซืน “นายตระกูล วินิจนัยภาค” อดีตอัยการสูงสุด ผู้เป็นพนักงานสอบสวนคุมทีมทำสำนวนนี้

โพสต์ยืนยัน กรณีที่ทักษิณอ้างว่า ที่เขาถูกดำเนินคดีเป็นเพราะพนักงานสอบสวน ถูกรัฐบาลยุค คสช.ข่มขู่

โพสต์ของ “ตระกูล วินิจนัยภาค”

“ขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่าในฐานะเป็น อสส.ในขณะนั้น ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีอาญานอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20

ไม่เคยมีใครสั่ง ข่มขู่ โน้มน้าว ชักจูง ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสอบสวนครับ”

สำทับด้วย “อีกโพสต์” ต่อมา ……..

“ท่าน อสส.พงษ์นิวัฒน์ เป็นคนสั่งฟ้องหลังจากที่ผมเป็นคนสั่งให้มีการสอบสวนดำเนินคดีนี้ ครับ”

คือเรื่องนี้ เกิดที่เกาหลีใต้ โดยทักษิณไปให้สัมภาษณ์ที่นั่นเมื่อ ๒๑ พฤษภา.๕๘ จึงเป็น “คดีนอกราชอาณาจักร”

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐ บอก “ให้อัยการสูงสุด หรือผู้รักษาการแทน เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ

หรือจะมอบหมายหน้าที่นั้น ให้พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนแทนก็ได้”

ในปี ๕๗ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง เป็นอัยกสารสูงสุด เมื่อคสช.เข้าควบคุมอำนาจประเทศ ให้นายอรรพลไปปฎิบัติหน้าที่ ที่สำนักนายกฯ

ให้รองอัยการสูงสุด “นายตระกูล วินิจนัยภาค” รักษาราชการและได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “อัยการสูงสุด” ต่อมา

เรื่องทักษิณพูดล่วงเกินสถาบัน…..
เริ่มสอบสวนสู่การดำเนินคดีระหว่างปี ๕๘ และสั่งฟ้องเมื่อ ๑ กุมภา.๕๙ จึงคาบเกี่ยวกับอัยการสูงสุด ๒ ท่าน ตามที่นายตระกูลโพสต์

คือ นาย “ตระกูล วินิจนัยภาค” เป็น อสส.ระหว่าง ๒๗ มิ.ย.๕๗ – ๓๐ ก.ย.๕๘ ทำสำนวนสอบสวนคดีนี้ ก่อนเกษียณ

“ร้อยตำรวจตรี พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร” เป็น อสส.ท่านต่อมา ระหว่าง ๑ ตุลา.๕๘ – ๓๐ ก.ย.๖๐

ท่านเป็นหัวหน้าควบคุมการทำสำนวนคดีต่อจนเสร็จ และ “สั่งฟ้อง” ในปี ๕๙ ดังกล่าว

นี่…หัวหน้าควบคุมการทำสำนวน ท่านออกมายืนยันด้วยตัวท่านเองว่า

“ไม่เคยมีใครสั่ง ข่มขู่ โน้มน้าว ชักจูง ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสอบสวนครับ”

นักร้องก็ “หน้าแหก” ไปเท่านั้นเอง!

ยิ่งอ้างว่าตัดต่อคำพูด อ้างเป็นข่าวภาษาเกาหลี เอามาแปลเป็นไทย ความหมายมันตรงกันหรือเปล่า ตีความไปคนละทางหรือเปล่า ที่ยกอ้างร้องขอความเป็นธรรมนั้น

ถ้าบอกว่าตัดต่อ ตีความเป็นคนละภาษา นั่นเอาไปหักล้างในศาล ไม่ใช่ตั้งนะโมเอง เป่าพรวดลมออกตูดเองแบบนี้

และอ้อ…อยากจะบอก
ที่ทักษิณให้สัมฯ นั่น พูดด้วยภาษาไทย “ไม่ต้องแปลเป็นไทย” ค่ะ ส่วนเรื่องตัดต่อ-ไม่ตัดต่อ ต้องอ้างทำมั้ย

ยุคไอที ตัดต่อหรือไม่ แค่เด็กประถม ฟังปุ๊บ ก็รู้!

เอาละ…โบราณว่า นอนนาน วิชาน้อย, กินบ่อย เงินหมด, คุยมาก โกหกมาก
เอาที่แน่ๆ จะเรือบินหรือช่องหมาลอด…รีบเลือก!

เปลว สีเงิน
๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗

Written By
More from plew
เมื่อ “ลองดี” ก็ “เจอดี” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ถ้ามันสมอง “รุ้ง-ปนัสยา” มีมากเท่าไขมันในร่างเธอ เธอจะต้องไม่ทำ อย่างที่ทำอยู่ตอนนี้! คือ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว…. ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และประกาศไม่ทำตาม พร้อมนัดชุมนุม...
Read More
0 replies on ““๓ หนุ่ม ๓ มุม” จนมุม – เปลว สีเงิน”