เริ่มต้นปี 2020 ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งเศรษฐกิจ และโรคระบาดอย่างเช่น ไวรัสโคโรน่า นั้นส่งผลให้การใช้จ่ายของเรานั้นจะต้องคิดหน้าคิดหลังให้มากขึ้น เพื่อให้เราได้ของที่คุ้มค่าและเหมาะกับเรามากที่สุด ประกันภัยรถยนต์เองก็เช่นกัน ต่อให้เราซื้อประกันชั้น 1 ที่ว่าครอบคลุมทั้งหมดแล้วแต่เราก็ต้องมองปัจจัยด้านอื่นๆตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ทุนของประกันที่เราได้รับ หรือแม้กระทั่ง ค่าชดเชย หรือ ความคุ้มของจากประกันภัยรถยนต์ในส่วนต่างๆ วันนี้ Priceza Money จะมาแนะนำ “5 เทคนิคเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์ด้วยตัวเองให้คุ้มค่า เหมาะกับไลฟ์สไตล์” ที่จะช่วยให้เพื่อนๆที่กำลังหาซื้อประกันภัยรถยนต์ ได้คุ้มค่ามากที่สุด
เทคนิคที่ 1 ต้องเข้าใจก่อนว่า “ประกันภัยแต่ละประเภท แตกต่างกันยังไง”
เป็นเทคนิคแรกเลยที่เพื่อนๆต้องเข้าใจว่าประกันรถยนต์แต่ละประเภทมันแตกต่างกันยังไงนะ ไม่อย่างนั้นเนี่ย เราจะไม่รู้เลยว่ารถยนต์ที่เราใช้อยู่ควรจะต้องเลือกประกันประเภทไหนให้เหมาะกับรถยนต์ของเรา เพื่อให้ทุกคนเข้าใจกันง่ายๆ ประกันรถยนต์จะมีแบ่งเป็นใหญ่ๆอยู่ 5 ประเภท คือ ประกันรถยนต์ ชั้น 1,ประกันรถยนต์ ชั้น2+ ,ประกันรถยนต์ชั้น 2,ประกันรถยนต์ ชั้น 3+,ประกันรถยนต์ ชั้น 3
ประกันรถยนต์ชั้น 1 (คุ้มครองอย่างครอบคลุม)
ประกันรถยนต์ ชั้น1 สรุปกันแบบง่ายๆ ก็คุ้มครองทั้งหมดไม่ว่าจะตัวเรา คู่กรณี รถยนต์ของเรา รถยนต์ของคู่กรณี รถชนทั้งแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี การถูกโจรกรรม ไฟไหม้ รวมไปถึงคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกด้วย
ประกันรถยนต์ ชั้น 2+ (คุ้มครองอย่างคุ้มค่าในราคาประหยัด)
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ หรือ ประกันชั้น 2 พลัส นั้นเรียกได้ว่าเป็นประกันที่ได้รับความนิยมพอๆกับ ประกันรถยนต์ชั้น 1 เลยทีเดียว แต่จะมีความแตกต่างกันคือ ประกันชั้น 2+ นั้นจะไม่คุ้มครองกรณีชนแบบไม่มีคู่กรณี และ ไม่คุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วมหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกนั้นการคุ้มครองจะเหมือนกันประกันรถยนต์ ชั้น 1 เลย เรียกได้ว่าคุ้มค่าเพราะราคาเบี้ยประกันจะถูกลงมาหลักพันเลยทีเดียว
ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2 (คุ้มครองคู่กรณี ไฟไหม้ โจรกรรม)
ประกันรถยนต์ชั้น 2 จะคุ้มครองเฉพาะในส่วนของคู่กรณี แต่จะไม่คุ้มครองความเสียหาย ในส่วนของเราเอง แต่จะคุ้มครองเพิ่มเติมในส่วนของน้ำท่วมและภัยพิบัติทางธรรมชาติ การถูกโจรกรรม
ประกันรถยนต์ ชั้น 3 พลัส (คุ้มครองทั้งคู่ สบายใจขึ้นเยอะ)
ประกันรถยนต์ชั้น 3+ หรือประกันรถยนต์ชั้น 3 พลัสนั้น ได้รับความนิยมมากเช่นกัน เนื่องจากคุ้มครองทั้งเราและคู่กรณี ในกรณีรถชนรถ แต่จะไม่คุ้มครองในส่วนของไฟไหม้ การถูกโจรกรรม น้ำท่วมหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งเรียกได้ว่าถ้าใครมีรถที่อายุค่อนข้างเยอะ หรือไม่ค่อยได้ขับนานๆขับที ตัวเลือกประกันชั้นนี้ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว
ประกันรถยนต์ ชั้น 3 (คุ้มครองคู่กรณี มีไว้อุ่นใจแน่)
ประกันรถยนต์ชั้น 3 ถึงจะไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก แต่อยากให้ทุกคนที่มีรถยนต์ทำเอาไว้ อย่างน้อยก็คุ้มครองในส่วนคู่กรณีของเรา โดยส่วนอื่นๆที่เกิดความเสียหายกับรถของเรานั้นจะไม่ได้คุ้มครองรวมไปถึงการถูกโจรกรรม หรือน้ำท่วมและภัยพิบัติทางธรรมชาติก็จะไม่คุ้มครอง หากใครคิดว่าตนเองขับรถได้อย่างปลอดภัยแล้วไม่ชนหรอก อย่างน้อยก็มีประกันชั้น 3 ไว้สักนิดให้อุ่นใจดีกว่า
เทคนิคที่ 2 เช็คพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์การขับขี่ของตนเอง
ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวของเราเอง เทคนิคที่ 2 จะว่าด้วยเรื่องพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์การขับขี่ของตัวเราเอง หรือผู้เอาประกัน ซึ่งในเทคนิคที่ 1 เราทราบกันแล้วว่า ประกันแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกันยังไง ซึ่งความต่างการคุ้มครองก็จะมีผลกับราคาเบี้ยประกันด้วย ซึ่งถ้าเรารู้ว่าตัวเราเองนั้นขับขี่รถยนต์แบบไหน สไตล์ไหน เราจะสามารถเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเราได้ ซึ่งสามารถช่วยลดเบี้ยประกันได้เยอะเลยแหละ ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ของคุณมีอายุไม่ถึง 5 ปี แต่ไม่ได้ขับออกไปไหนเลย หรือขับน้อยมากจากหน้าบ้านไปหน้าซอย เราก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องทำประกันชั้น 1 แต่อาจเป็นประกัน 2+ แทน ก็จะสามารถลดเบี้ยประกันเพิ่มไปได้อีก 3-5 พันบาทเลยทีเดียว
เทคนิคที่ 3 ต่อประกันรถยนต์ก่อนประกันจะหมด
อันนี้คงต้องเตือนตัวเองกันหน่อย หรือโบรกเกอร์บางเจ้าจะมีการติดตามเพื่อให้เราต่อประกันก่อนที่ประกันรถของเราจะหมด ซึ่งการต่อประกันก่อนนั้นจะทำให้เราได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ขาดระยะ ซึ่งหากบังเอิญประกันหมดไปเมื่อวานและเราลืมต่อประกันรถ หากเกิดอุบัติเหตุในช่วงนี้ ประกันจะไม่คุ้มครอง เราอาจจะต้องเสียตังค์ค่าเสียหายเพิ่ม ซึ่งการต่อประกันไว้ล่วงหน้า 1-2 เดือน อาจจะได้สิทธิพิเศษจากทางโบรกเกอร์หรือโปรโมชั่นดีๆ อันนี้เพื่อนๆอาจจะต้องลองคุยกับทางโบร๊คเกอร์ดูอีกที ถึงยังไงการต่อประกันไว้ล่วงหน้าก็เป็นจุดนึงที่จะทำให้เพื่อนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดฝันขึ้น
เทคนิคที่ 4 รักษาประวัติดี ขับขี่อย่างระมัดระวัง
เทคนิคนี้เหมือนเป็นรางวัลสำหรับคนที่ขับรถอย่างระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจร ทำให้ช่วยลดอุบัติเหตุจากการขับรถเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งส่งผลดีแน่ๆกับทั้งตัวเราเองและผู้ขับรถยนต์บนท้องถนน ซึ่งทำให้เรามีประวัติดี ไม่ซ่อม ไม่เคลม ทางประกันภัยก็จะมีส่วนลดให้ในส่วนนี้ด้วย เพราะฉะนั้นเทคนิคนี้เป็นวิธีที่สามารถทำกันได้เลย เพียงแค่ขับรถอย่างระมัดระวัง มีน้ำใจ ให้อภัยซึ่งกันและกัน และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่า เคร่งครัด เท่านี้เราก็จะประหยัดค่าเบี้ยประกันต่อปีได้ลงไปอีกด้วย
เทคนิคที่ 5 เข้าเว็บไซต์เปรียบเทียบประกันรถยนต์
เทคนิคสุดท้าย ประเทศไทยเราเข้ายุค 4.0 กันแล้ว ซึ่งการหาข้อมูลต่างๆบนโลกอินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่เข้าถึงแทบจะทุกคน เราจึงต้องใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ โดยเราสามารถเข้าไปเปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้แล้ว จะยิ่งทำให้เราได้เห็นภาพรวม สิทธิพิเศษ การคุ้มครองต่างๆ ของแต่ละประกัน โปรโมชั่น ทำให้เราสามารถตัดสินใจเลือกซื้อประกันให้ตรงกับเรามากที่สุด นอกจากนั้นยังมีข้อมูลดีๆเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์เป็นของแถมให้เราได้อ่านเพิ่มเติมกันอีกด้วย ซึ่งหลักๆที่เราควรจะดูเพื่อเปรียบเทียบก็คือ ชั้นประกัน,ทุนประกัน,ค่าเสียหายส่วนแรก,วงเงินคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและผู้โดยสารหรือคู่กรณี ค่ารักษาพยาบาล ทั้งหมดนี้เราสามารถเข้าไปเปรียบเทียบได้ผ่านทางเว็บไซต์ได้เลย จะยิ่งทำให้เราได้เลือกซื้อประกันได้อย่างคุ้มค่าและเหมาะกับไลฟ์สไตล์เรามากที่สุด
การเลือกซื้อประกันให้คุ้มค่า สมัยนี้แล้วมีข้อมูลให้เราศึกษากันเพียบเลยแหละ สามารถนำเทคนิคไปปรับใช้กันได้เลย ซึ่งหากใครต้องการเปรียบเทียบประกันรถยนต์ก็สามารถเข้ามาที่เว็บไซต์ Priceza Money เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้ฟรี จากโบรกเกอร์ชั้นนำในประเทศไทย พร้อมแผนประกันที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนขับรถยนต์