ช่วงนี้ ในกรุงเทพฯ……
ใครบ่น “รถติด” ให้แหงนหน้าขึ้นฟ้า แล้วจะเลิกบ่น
เพราะท้องฟ้าเหนือ “สุวรรณภูมิ”
“เครื่องบินติด” บินว่อนรอคิวทะยอยลงเหมือนกองทัพตั๊กแตนถล่มนา!
นอกจาก “คณะทำงาน” ผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจและกองทัพนักข่าวต่างชาติที่มางานประชุม APEC แล้ว
นักท่องเที่ยวทั้งฝรั่ง แขก จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี และเพื่อนบ้านย่านอาเซียนด้วยกัน ทะลัก-ทะลาย
ใครๆ ก็รักเมืองไทย มาเที่ยวเมืองไทยกันทั้งนั้น!
อยากให้ทักษิณมาเห็นด้วยตาจัง จะได้ศึกษาเรียนรู้วิชาไว้สอนลูก-สอนหมาในคอก
ว่า “นายกฯโง่” จากนายทหาร….
ที่ขายชาติ-ขายแผ่นดินไม่เป็น โกงแบ่งกันไม่เป็น ใช้แค่ความซื่อ ถือความสัตย์ ยึดประโยชน์ชาติ-ประชาชนเป็นตัวตั้ง
ไม่ถึง ๒ เดือน หลังเปิดเมือง
สามารถพลิกฟื้นคืนเศรษฐกิจประเทศที่ฟุบจากพิษโควิดและผลกระทบจากพิษสงคราม
ให้ “ฟูเฟื่องทะลุฟ้า” ทันตาเห็นได้อย่างไรกัน?!
คนต่างด้าว ท้าวต่างแดน แห่แหนเข้ามาเมืองไทยเฉียด ๑๐ ล้าน กระจายกันไปทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก และอีสานบ้านเฮา
ไปที่ไหน นักท่องเที่ยวแต่ละคน …….
ก็เหมือนหิ้วถังน้ำเจาะรูติดมือไป น้ำคือเม็ดเงินก็ไหลรดต้นไม้-ต้นหญ้าตามรายทาง ให้พลิกฟื้นคืนจากที่แห้งโหยกันมาร่วม ๓ ปี
เมืองไทยยามนี้ คราคร่ำด้วยชาววิไล นคราที่หลับไหลไสวสว่าง พลิกตื่น ครื้นครึก ด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะเปี่ยมสุข
นายกฯ ประยุทธ์ ทั้งไม่เก่ง-ทั้งไม่โกง
ซึ่งตรงข้ามกับทักษิณ ทั้งเก่ง-ทั้งโกง แถมขี้โม้ โกงบ้าน-โกงเมืองไม่พอ ยังโอ่อวด
จะแลนด์สไลด์ “อมทั้งบ้าน-อมทั้งเมือง” แปลงประเทศเป็นบริษัท แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณทักษิณสถาปนา (มหาชน)
แต่แปลก….
โม้-โอ่อวด, เก่ง-รวย-ฉลาด-สารพัดรู้ ขนาดนั้น
กลับไม่รู้อยู่เรื่องเดียว คือ…..
ไม่รู้จะกลับบ้านได้อย่างไร ทั้งที่มีเงิน มีเรือบินส่วนตัว มีพาสปอร์ตหลายประเทศ มีหมาเป็นคอกๆ
แปลกจริงๆ ให้ดิ้นตาย!?
โม้ไว้แต่ต้นปี “ปีนี้กลับบ้านแน่” ก็จะสิ้นปีอยู่รอมร่อ จะกลับทางไหน ทาง “ไฮเปอร์ลูป” ก็ไม่รู้ธนาธรทำเสร็จยัง ได้ยินแต่ที่เขาโม้ค้างไว้พอๆ กัน
โหนลูกสาว “พาพ่อกลับบ้าน” ก็แล้ว
ล่าสุด โหนหลานตาคนที่ ๗ ในท้องก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นหน่อ-เห็นแนว ว่าจะได้กลับ
เห็นมาแต่เงาวับๆ ในคลับเฮาส์ ให้หมาในคอก “ขาประจำ” ๓-๔ ตัว นั่งสอพลอเงา
ใครไม่อาย…ผมอาย ….
อายไปถึงวิญญานบรรพบุรุษเลยเชียว!
ถ้าอยากกลับบ้านมาเลี้ยงหลานหรือมาเลี้ยงหมาเพื่อให้ตะกายเมืองก็สุดแต่เถอะ ผมจะแนะวิธีให้
ทำตัวดีๆ แล้วยกมือไหว้ “พลเอกประยุทธ์” ในฐานะท่านเป็นนายกฯ สักที แล้วเรียนท่านว่า
“ผมสำนึกได้แล้ว ขอฝากตัวเป็นศิษย์ “นายกฯโง่” ขอให้นายกโง่โปรดเมตตา ถ่ายทอดวิชา “เรียกเนื้อ-เรียกปลา” ให้ผมด้วย!”
แค่เนี้ย….
นายกฯ ประยุทธ์น่ะ วาจาโผงผาง เหมือนกระด้างตามวิสัยชายชาติทหาร แต่ใจท่านไม่มีอะไร มีแต่ความเมตตา- สงสารผู้อื่น
อยากรวยเรอะ ไม่ต้องโกง ขอคาถาท่านไปท่อง…ชิตังเม โป้ง..รวย แป๊บเดียวก็รวย
เหมือน “แป๊บเดียวถึง” อย่างที่ยิ่งลักษณ์บอกบุญทรง!
อยากกลับอย่างเท่ๆ เรอะ ก็ขอเรียนวิชา “เรียกเนื้อ-เรียกปลา” บริกรรมไม่กี่คาบก็ได้กลับ เชื่อผมเถอะ
ก็ที่นักท่องเที่ยวไหลเข้ามาพรวดๆ ยิ่งกว่ามวลน้ำก้อนใหญ่ท่วมเมืองสมัย “ยิ่งลัษณ์เอาอยู่” นายกฯ ก็ใช้วิชานี้แหละ
เรียกนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็น ๑๐ ล้าน ยังเรียกได้ แค่ทักษิณคนเดียว แถมน้องสาวแสนสวยให้อีกหนึ่งคน…เอ้า
ถ้าบริกรรมคาถานี้ ไม่ไหลพรวดเข้ามาได้ ผมยอมให้เตะแก้มก้นด้านขวา ๑ ที
ด้านซ้ายไม่ได้ หัวฝีมันกำลังเต่งน่ะ!
เท่าที่ผมทราบ วิชานี้ “นายกฯ ประยุทธ์” ได้รับถ่ายทอดมาจาก “ป๋าเปรม” แล้วท่านนำมาทั้งบริกรรมและทั้งปฎิบัติ
ผลก็ปรากฏชัด อย่างที่เห็น….
ในรอบ ๘ ปี โครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านคมนาคม “รถ-ราง-เรือ-การบิน”, เทคโนโลยีโทรคมนาคม
และ EEC ……..
ต่อยอด “อีสเทิร์นซีบอร์ด” ด้วยเศรษฐกิจอุตสาหกรรมนวัตกรรมชั้นสูง สู่โลกอนาคตใหม่ รองรับศตวรรษที่ ๒๑
รวมทั้งด้านการเกษตรนวัตกรรม การประมง ยกระดับมาตรฐานชีวิต และธุรกิจการท่องเที่ยว
ทักษิณลดอัตตาและอีโก้ลงซักนิด แล้วเรียนไว้ เห็นว่าลูกสาวได้เป็น “นายกฯ โพล” แล้วมิใช่เรอะ?
ถ้าได้เป็นนายกฯ ในสภาจริงๆ ละก็ พ่อจะได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้ลูกสาวไว้บริกรรม
ลูกสาวจะได้เป็น “นายกฯ โง่” เพียบพูนด้วยเสน่ห์และความสำเร็จ เหมือนประยุทธ์ “นายกฯ โง่” คนนี้ไง
คำบริกรรม เท่าที่ผมพอทราบ ก็ประมาณว่า
“โอมมมมม….
ไม่โกง-ไม่กิน-ไม่สิ้นชาติ เพี้ยง”!
ใช้เสกน้ำล้างหน้าวันละ ๓ ครั้ง เช้า-กลางวัน-เย็น ท่านว่า “ประสิทธิเม” นักแล
นายกฯ ประยุทธ์ท่านขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ว่าช่วงนี้ อะไรๆ ที่มันไม่เป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อย งดได้ ก็งดไว้ก่อน
อิจฉา-ตาร้อน เห็นคนอื่นได้ดี แล้วทนไม่ได้ ต้องออกมากระแนะ-กระแหน แหย่คบ จุดไฟม็อบ ตามคลับเฮาส์
งดได้ ก็งดไว้
เห็นแก่บ้าน-แก่เมือง ช่วยกันทำหน้าที่ “เจ้าบ้าน-เจ้าภาพ” ที่ดี ต้อนรับขับสู้ “แขกบ้าน-แขกเมือง” ที่เดินทางมาร่วมประชุม APEC สัปดาห์นี้กันก่อน
และเป็นหู-เป็นตา ช่วยกันสอดส่อง-ดูแล อย่าให้ใครที่คิดชั่ว-คิดร้าย มากระทำในทางทำลายบรรยากาศและภาพลักษณ์บ้านเมืองไทยของเรา
พูดถึงเรื่องนี้ ก็นึกขึ้นมาได้ ไม่รู้จะถามใคร ก็ถามตรงนี้ฝากไปด้วยล่ะกัน
ใครนะ..เป็นต้นคิด ใช้สีแดงทำ “ทางม้าลาย” ตามถนนแทนสีดำกับสีขาวตอนนี้?
ในฐานะคนใช้ถนน ขอบอกว่า “ห่วยมาก”!
ทฤษฎีสี มีว่าไงผมไม่ทราบ
แต่บอกได้เลย ทางม้าลาย “ดำตัดขาว” ของเดิมๆ นั้น เด่นชัด-สะดุดตา เห็นทั้งใกล้-ทั้งไกล ดีอยู่แล้ว
แต่พอเปลี่ยนเป็น “พื้นแดงตัดขาว” มันกลืนกันไปเลย ยิ่งกลางวัน-กลางแดด ด้วยแล้ว อย่าว่าแต่ไม่เด่น-ไม่สะดุดตาเลย มันแทบมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
“แดง-ขาว” นั้น พอเห็นชัดได้ก็ตอนทาใหม่ๆ เท่านั้น ผ่านไปไม่กี่วัน เจอฝุ่น เจอโคลน ก็กลบ-ลบกลืนไปกับพื้น มองไม่เห็นหรอก
ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าถนนน-เจ้าภาพงานนี้ ของจราจรหรือของกทม.ก็ช่างเถอะ แต่ขอบอกว่า “ห่วยแตก”!
เปลี่ยนกลับไป “ขาว-ดำ” ได้ รีบเปลี่ยนเถอะ
ทางม้าลายขาวดำใช้นานแค่ไหน แค่ทำความสะอาดถนน ดำก็ยังขับขาวเด่นขึ้นมาได้
แต่แดงขับขาวให้เด่น ไปเรียนวิชามาจากสำนักไหนมิทราบ?
นี่เป็นความเห็นผมคนเดียวนะ คนอื่นๆ ที่ใช้รถ-ใช้ถนนคิดเห็นอย่างไรกับทางม้าลายขาวแดง โต้ได้-แย้งได้ ไม่ว่ากัน
“รุ่นใหม่” ให้มันบ้าแต่คนก็พอ
ถ้าม้าลายบ้า เปลี่ยนสีจากดำขาว เป็นม้าลายแดงขาว วิปริต-วิปลาส ไปด้วยละก็
บ้าก็บ้าวะ …กูจะได้บ้าด้วย!
เปลว สีเงิน
๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก กรุงเทพมหานคร