เรื่องของ “ศิษย์มีครู” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

บอกแล้วว่า “อย่าหนี”
เพราะวันนี้ ผมมีสิ่งอันพันละน้อย เก็บจากตรงโน้น-ตรงนี้ จะเรียกว่า “เบื้องหลังความสำเร็จ” ก็ย่อมได้ มาเล่าสู่กันฟัง
ก็ความสำเร็จในการทำหน้าที่
จากการมาเยือนไทยของนายกฯญี่ปุุ่น “นายคิชิดะ โฟมิโอะ” และคณะ เมื่อ ๑-๒ พค.นั่นแหละ

ความสำเร็จงดงามที่ชื่นใจนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการทำงานหลังฉากของเจ้าหน้าที่หลายกลุ่ม-หลายคณะ ประกอบกัน

บังเอิญได้อ่านจากผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคณะหนึ่ง โพสต์เฟซ ก็อยากนำมาให้รับรู้
เพื่อร่วมภูมิใจกับเขาเหล่านั้น…..

ซึ่งจะเติบโตเป็นกำลังหลักของงานใน “กระทรวงการต่างประเทศ” เพื่อชาติบ้านเมืองสืบต่อๆ ไป

ก็ลองอ่านดูนะครับ
………………………

Yordying Supasri อยู่กับ หทัยภัทร เศรษฐบุตร และ Ajaree Wong ที่ ทำเนียบรัฐบาล

2 พ.ค. 65 – เขาว่ากันว่า จุดสูงสุดของการเป็นเจ้าหน้าที่โต๊ะ (ฝ่ายในกระทรวงการต่างประเทศ ที่ดูแลประเทศที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ)
ก็คือ การได้รับการเยือนอย่างเป็นทางการของผู้นำของประเทศที่เราดูแล

ใครจะรู้ว่า ในปีที่ 6 ในการเป็นหัวหน้าฝ่ายที่ดูแลญี่ปุ่น และก่อนที่จะอำลาโต๊ะนี้ไปรับหน้าที่ใหม่ที่เมียนมา จะได้รับการเยือนอย่างเป็นทางการของ “นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น” ครั้งแรกในรอบ 9 ปี

ซึ่งแน่นอนว่า “เป็นครั้งแรก” ที่เคยได้ทำงานรับการเยือนแบบ full scale แบบนี้

การเตรียมงานใหญ่นี้ มีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงเดือน
(ทราบช่วงๆ สงกรานต์ที่ผ่านมา) กับภาวะที่ขาดแคลนคนในฝ่ายอย่างหนัก (ฝ่ายเดิมเคยมี 4-5 คน + จนท.โครงการ เหลือแค่ 2.5 คน + จนท.โครงการ 1)

แต่น้องๆ ทุกคนในฝ่าย และน้องๆ คนอื่นในกอง ก็ช่วยกันอย่างเต็มที่ จนผ่านพ้นมาได้

เบื้องหลังการเตรียมงาน มีทั้งน้ำตาจากความเครียดจากปริมาณงานที่ถาโถม กลับบ้านหลัง 5 ทุ่ม ได้นอนตี 3 หลายวันติด

และวันจริง ยังยุ่งเหยิงจนวินาทีสุดท้ายก่อนงานเริ่ม ด้วย “เหตุสุดวิสัย” ที่ไม่น่าจดจำ
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ต้องจารึกไว้เช่นกันว่า พวกเราก็ผ่านมากันได้

งานใหญ่แบบนี้ ต้องรบกวนหน่วยงานต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะกรมพิธีการทูต, สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, กรมสารนิเทศ หน่วยงานต่างๆ อีกมากมาย

รวมทั้งน้องๆ ที่มาช่วยเป็นล่ามในกำหนดการลงนามความตกลง แนะนำผลิตภัณฑ์ไทย อาหารค่ำที่ต้องใช้ล่ามหลายคน ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากๆ

ส่วนตัว รอบนี้เป็นการ “เป็นล่าม” ที่ท้าทายที่สุด ตั้งแต่เคยทำมา ทั้งกำหนดการพิธีต้อนรับ หารือกลุ่มเล็ก หารือเต็มคณะ แถลงข่าวร่วม และอาหารค่ำ

ไม่รวมที่แปลช่วงรับและส่งนายกฯ ญี่ปุ่นที่สนามบินด้วย รวมทั้งหมด มากกว่า 5 ชั่วโมง

และทำสาระของการหารือ ประเด็นสนทนาและผลการเยือนให้ออกมาดีที่สุดเพื่อฉลองโอกาส 135 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – ญี่ปุ่น

และมุ่งยกระดับความสัมพันธ์เป็น Comprehensive Strategic Partnership ถือว่าได้เติบโตไปอีกขั้น ทั้งในการเป็นเจ้าหน้าที่โต๊ะและล่าม และก็เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนที่ผ่านงานนี้ ก็เติบโตไปด้วยเช่นกัน

ขอบคุณมากๆ เป็นพิเศษ คือ 3 ทหารเสือ ที่ทำงานอย่างเต็มที่สุดๆ
@cuccai @ploysres @ni.nieww ขอบคุณโต๊ะเกาหลีที่มาช่วยเสริมทัพ @puiji @klang_natouch ขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคน…

อยากจะบอกว่า ที่ดีใจที่สุดคือ ตอนไปส่งนายกญี่ปุ่นที่สนามบินวันนี้ ได้ทราบจากท่านทูตญี่ปุ่นว่า “นายกฯคิชิดะ happy สุดๆ กับการเยือนไทยครั้งนี้”……

งานหลักจบไป เหลือการทำสรุปผล และสานต่อผล ก่อนที่จะมีทริป “นายกฯไทย” เยือนญี่ปุ่นอีก ปลายเดือนนี้ ต้องสู้ต่อไป ???????????????? #thailandjapan
……………………………….

“Yordying Supasri” เจ้าของโพสต์นี้ คือใคร?
ก็ทราบ “เท่าที่ทราบ” จากข้อความที่เจ้าตัวโพสต์นั่นแหละ
พอดี ต่อมา พบข้อความจากท่านนี้โพสต์
…………………….

สมจิตร วัฒนคุลัง อยู่กับ Yordying Supasri

สุขใจในอีกวัน…
ติดตามข่าวการจัดพิธีต้อนรับ นายกฯ รมต.ญี่ปุ่นของรัฐบาลไทยผ่านพ้นไปด้วยดี

ในการนี้ “ดร.ยอดเยี่ยม ศุภศรี” ศิษย์เก่าสาธิตเกษตร ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายการต่างประเทศ (ดูแลฝ่ายญี่ปุ่น) ทำให้อดที่จะภูมิใจและสุขใจกับศิษย์ไปด้วยไม่ได้

จึงขอชื่นชมในการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ ด้วยความสุขใจในฐานะครูและชาวไทยคนหนึ่ง

ขอกุศลดลให้มีความเจริญก้าวหน้าในการรับใช้ประเทศชาติต่อไป
-จากครูสาธิตเกษตร
…………………………….

ครับ ก็เลยทราบว่า…..
Yordying Supasri คือ “ดร.ยอดยิ่ง” หรือที่ ครูสาธิตเกษตร เรียกว่า “ดร.ยอดเยี่ยม ศุภศรี” นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ “ศิษย์เก่าสาธิตเกษตรฯ” นั่นเอง

ความสุขคนเป็นครูก็อยู่ตรงนี้ ไม่เคยคิดหวังอามิสใดๆ จากศิษย์ นอกจากหวังเห็นความเจริญก้าวหน้าและเติบโตเป็นกำลังของชาติจากศิษย์

ไม่ว่าอยู่ในตำแหน่ง-ฐานะ-อาชีพไหน ศิษย์ก็เป็นคนดี ทำงานมุ่งมั่น เสียสละ อดทน เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด

ผมชอบมากเลยที่  “สมจิตร วัฒนคุลัง”  เรียกตัวเองว่า “ครู”
ทั้งที่ท่านเป็น “ผู้ช่วยศาสตราจารย์”

คำว่า “ครู” นี่…..
คำเดียวสั้นๆ แต่ลึกซึ้ง ดื่มด่ำ กำซาบถึงรากจิตวิญญานของคนผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐ เหนือคำใดๆ จะอธิบาย
ได้ยินทีใด ใจมันศิโรราบ กราบกรานโดยอัตโนมัติ

ตรงข้ามกับคำว่า “อาจารย์”

ฟังดูู ห่างเหิน แถมอีโก้นิดๆ ใจไม่แนบสนิทต่อกัน ให้ทัศนคติทาง “ใช้ศิษย์สร้างฐาน-ใช้วิชามารสร้างฐานะ” ตรงข้ามกับคำว่า “ครู” ทุกประการ

พูดถึง “กระทรวงการต่างประเทศ” ในยุค “โลกแบ่งขั้ว-สังคมแยกข้าง” ที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ขณะนี้

มันคนละแบบกับยุค “สงครามเย็น” ซึ่งเป็นยุคสงครามอุดมการณ์ระหว่างขั้วโลกเสรี ที่มีสหรัฐฯนำกับขั้วโลกคอมมิวนิสต์ที่สหภาพโซเวียตนำ เมื่อ ๖๐-๗๐ ปีที่แล้ว

โจทย์ยุคนั้น มันสะท้อน “สังคม-ศรษฐกิจ-การเมือง” กับยุคนี้ ชนิดที่เรียกว่า “หน้ามือกับหลังมือ”
“เดิมพัน” มันต่างกันลิบโลก!

ฉะนั้น จะเอาบทบาท-ลีลา “การเมือง-การทูต” ของรัฐมนตรีตางประเทศยุคหนึ่ง มาเปรียบกับอีกยุคหนึ่ง
มันทั้งไม่ใช่ และทั้งไม่ตอบโจทย์

ผมอยากจะยกเอาจดหมายเปิดผนึกของคุณ “อัษฎางค์ ยมนาค” หลายวันก่อน ที่มีถึงคุณ “สนธิและพี่น้องชาวไทย” มาให้อ่าน แล้วจะเข้าใจการทำงานคนกระทรวงต่างประเทศดีขึ้น ดังนี้
…………………..

เรียน คุณสนธิและพี่น้องชาวไทย

เรื่อง ลุงตู่และลุงดอน

ไหนๆ โพสต์ป้องคุณสนธิ ที่ถูกเด็กมาบูลลี่ ด้วยคำด่าว่า ไอ้เจ๊กแล้ว ขอโอกาสพูดเรื่องนี้ต่อเลยสักเล็กน้อย อยากพูดมานานแล้ว

ผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นแฟนรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ผมรักและเคารพคุณสนธิในความรู้ ประสบการณ์และคุณดีงานของท่านเสมอ

แต่วันนี้ขออนุญาตพูดเรื่องที่คุณสนธิตำหนิ หรือจะพูดแบบชาวบ้านว่า ด่านายกลุงตู่และรัฐมนตรีดอนอยู่เนืองๆ แล้วก็มีเพื่อนๆ น้องๆ แฟนเพจของผม ที่ไปฟังรายการคุณสนธิ แล้วเอาลุงตู่กับคุณดอนมาด่าต่อให้ผมฟังบ่อยๆ

ซึ่งส่วนใหญ่ ผมก็ฟัง (อ่าน) เฉยๆ แต่นานๆ ครั้ง ผมก็ตอบ หรืออธิบายไปเสียที วันนี้ขออนุญาตมาเล่าตรงนี้ เผื่อได้เห็นได้อ่านกันในวงกว้าง

ก่อนอื่น ผมขออนุญาตออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้เป็นติ่งลุงตู่และลุงดอน ไม่ได้เป็นกลุ่มคนเชียร์ลุง
และมีบางสิ่งบางอย่างหรือหลายสิ่งหลายอย่างที่ลุงทำไม่ถูกใจในทัศนะและมุมมองของผมเช่นกัน

บางเรื่องที่คุณสนธิกระทุ้ง ก็เป็นการกระทุ้งแทนความอึดอัดใจของประชาชนทั้งประเทศเหมือนกัน

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้ เพราะมีโอกาสได้รู้ว่า คุณดอนและข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศ (หรืออาจจะรวมกับงานของ พล.อ.ประยุทธ์และข้าราชการในกระทรวงอื่นๆ บางอย่างด้วยก็ได้)

ได้ทำงานราชการอย่างลับๆ หรือทำเป็นปกติอยู่อย่างต่อเนื่อง จริงจังและหนักหนาสาหัส แต่ไม่มีใครู้ ไม่มีใครเห็น และไม่สามารถออกมาป่าวประกาศว่า ได้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ มาโดยตลอดได้

ยังมีข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เป็นงานปิดทองหลังพระ ที่ไม่มีวันที่คนทั่วไปจะทราบอีกมาก

ถ้าไม่มีคนทำงานปิดทองหลังพระอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเช่นนี้ ประเทศชาติคงไม่สามารถขับเคลื่อนให้ก้าวหน้าได้อย่างทุกวันนี้

งานบางอย่าง โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศหรือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มันเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก ยากที่เราจะเข้าใจ

แต่มีกลุ่มคนที่ทำงานเหล่านั้นอยู่แทนเราอย่างเหน็ดเหนื่อย โดยไม่ได้รับคำชม แถมบางที มีแต่คำตำหนิและคำวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่ไม่เข้าใจกัน

ผมพูดได้เพียงเท่านี้ ไม่สามารถลงลึกไปกว่านี้ได้

หวังว่าคุณสนธิและพี่น้องชาวไทยจะเข้าใจและให้กำลังใจข้าราชการทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยที่ทำงานปิดทองหลังพระอีกเป็นจำนวนมาก

คนชั่วก็มี คนดีก็เยอะ ถ้าคนชั่วเยอะกว่าคนดี ไทยเราคงไม่สามารถก้าวมาถึงอย่างทุกวันนี้ได้

ด้วยความรักและเคารพยิ่งต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

ได้รับความรู้มากมายจากคุณสนธิเสมอมา

และด้วยความรักและเคารพยิ่งต่อพี่น้องไทยทุกคนที่หวังดีต่อชาติ

-อัษฎางค์ ยมนาค
………………………..
ผมก็….๒ วันสบายไป อาศัยลอกเขามาขายกิน ขอบคุณ..ขอบคุณ!


Written By
More from plew
ปิด “ผับ-บาร์” เป็นว่า “ปิดเมือง”
ชักอิจฉา….. “ลุงตู่” แฟนตรึม! ถูกโควิด-๑๙ หักอกจนซูบผอมตรอมใจหน่อยเดียว พ่อยก-แม่ยก พากันน้ำตาเล็ด น้ำตาร่อย ลุงตู่ ของชั้น ถูกไอ้โคมันรุมขวิด!
Read More
0 replies on “เรื่องของ “ศิษย์มีครู” – เปลว สีเงิน”