การเมืองเรื่อง “สะกดจิต” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

อ้าว….!
อยู่กินกันหม้อข้าวยังไม่ทันดำ หัวหน้ากับเลขาฯ พรรค หย่าร้างกันซะแล้ว!?
ระหว่าง “พลเอก” กับ “ร้อยเอก” แห่งพรรคเศรษฐกิจไทย
เมื่อวาน (๒๔ พค.๖๕) คณะกรรมการบริหารพรรค ๑๕ คน ในจำนวนเต็ม ๒๒ คน ยื่นใบลาออกจากการเป็นกก.บห.
ลาออก “เกินครึ่ง”……

มีผลให้ กก.บห.พรรคเศรษฐกิจไทย “พ้นสภาพทั้งคณะ” ต้องประชุมพรรคเลือกตั้งกก.บห.ชุดใหม่ภายใน ๔๕ วัน
มันเรื่องอะไรกัน ถึงต้องแตกหักกันเร็วขนาดนี้ ผมก็คิดไม่ออก

เมื่อไม่ออก ก็ต้องโทษ ๓ ป.ไว้ก่อนละ ตามสมัยนิยม!

เพราะพลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรค ก็เพื่อนรุ่นน้องลุงป้อม ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาฯ พรรค ก็ลูกน้องลุงป้อม

ทั้งหมด ร่วม ๒๐ คน “ถูกไล่ออก” ทางเทคนิก จากพรรคพลังประชารัฐ มาตั้งเป็นพรรคเศรษฐกิจไทย
ภายใต้สัญญาใจ “แยกพรรค” แต่ “ไม่แยกโหวต” ให้รัฐบาล!

เมื่อวาน จู่ๆ ก็มีข่าว พลเอกวิชญ์จะลาออกจากหัวหน้าพรรค
เหตุจากอุดมการณ์อันสูงส่งทางการเมืองระหว่างหัวหน้ากับเลขาฯ ไม่ตรงกันบางเรื่อง-บางประเด็น

แต่ลูกน้องในพรรคบางคนบอกว่า “พาผมมาแล้วจะทิ้งผมไปอย่างนี้น่ะหรือ” พลเอกวิชญ์คิดทบทวนแล้ว จึงไม่ลาออก

นี่ผมอ่านจากข่าวมาเมาธ์ต่อน่ะ ไม่ได้รู้-ได้ฟังด้วยตัวเองหรอก

เมื่อหัวหน้าพรรคไม่ออก กก.บห.๑๕ คน จึงลาออก!
ก็ไม่รู้ว่า การลาออกเกินครึ่งแบบนี้ เป็นยุทธศาสตร์การพรรคของฝ่ายใด

ของฝ่ายหัวหน้าพรรค หรือของฝ่ายเลขาฯ พรรค?

เป็นยุทธการ “ยึดอำนาจพรรค” โละกก.บห.ชุดเดิม เพื่อเอาคนฝ่ายตนล้วนๆ เข้าไปเป็น กก.บห. ชุดใหม่แทน

นี่ถ้ารู้ว่า ๑๕ คนที่ลาออกคือใครบ้าง ก็จะรู้ว่าเป็นการเดินแต้มของฝ่ายพลเอกหรือฝ่ายร้อยเอก

เผอิญผมอยู่ชายขอบ-ชายเขาในเรื่องพรรค เลยไม่รู้เหนือ-รู้ใต้กับเขา แต่ประเมินว่า น่าจะเป็นแต้มของร้อยเอกธรรมนัสมากกว่า

เพราะเรื่องการเมือง-การพรรค ธรรมนัสเก๋าเกมกว่าพลเอกวิชญ์ จะว่าไป พรรคเศรษฐกิจไทย เจ้าภาพก็คือธรรมนัส

ฉะนั้น เมื่อหาจุดลงตัวในข้อขัดแย้งไม่ได้
ธรรมนัสก็ต้องยึดอำนาจพรรค ยุบกก.บห.เพื่อเอาหน่อเนื้อธรรมนัสล้วนๆ เข้ามาเป็นชุดใหม่

ส่วนหัวหน้าพรรค เมื่อไม่ออก อยากอยู่ ก็อยู่ไป
แต่อยู่ในสภาพ “เจว็ด”!

นี่ผมเดาเอาเองนะ ผิด-ถูกไม่รู้ เพราะไม่มีสายลับ-สายแล้บที่ไหนมาเป็นพรายกระซิบหรอก

ถ้าเป็นอย่างที่ผมเดา ลงท้าย พลเอกวิชญ์ ท่านก็ต้องไป ไม่อยู่ให้ร้อยเอกหยามศักดิ์ศรีพลเอกได้หรอก

อ้าว…แล้วกัน

คุยถึงตรงนี้ ไทยโพสต์ออนไลน์ ลงข่าวตอน ๖ โมงเย็น บอกพลเอกวิชญ์ยื่นใบลาออกกับนายทะเบียนพรรคซะแล้ว!

ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคอย่างเดียว หรือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคด้วยหรือไม่ ข่าวไม่แจ้ง
ลองแบบนี้ เดี๋ยวก็ต้องไป อยู่ร่วมกันไม่ได้หรอก!

นี่…ทำผมเซ็งเลย

ไม่ใช่เซ็งเรื่องในพรรคเศรษฐกิจไทย แต่เซ็งที่คุยไปตั้งครึ่งแล้ว สถานการณ์กลับล้ำหน้า ที่เขียนไป เชยเลย

ก็ขี้เกียจรื้อเขียนใหม่ ขอลุยถั่วไปก็แล้วกัน แบบนี้ก็เป็นอย่างที่เดา ๑๕ กก.บห.ที่ลาออก เป็นยุทธการธรรมนัส เพื่อไล่พลเอกวิชญ์ทางเทคนิคนั่นเอง

แล้วเรื่องอะไรล่ะ มันหนักหนาสาหัส ถึงขั้นต้องแตกหักกันไปข้าง?

ที่ดูก็มีเรื่องเดียว คือเรื่องสนธิสัญญาป้อม-ธรรมนัสว่าด้วย “ไล่พวกผมออกเถอะ” นั่นแหละ

ตอนนั้น ตกลงกันว่า ออกมาตั้งพรรคใหม่ แต่เป็นฝ่ายรัฐบาลนะ เวลาโหวตในสภา ต้องโหวตให้ฝ่ายรัฐบาลนะ

พลเอกวิชญ์ หัวหน้าพรรค ให้ยึดมั่นในสนธิสัญญานั้น แต่ร้อยเอกธรรมนัส เลขาฯ ต้องการฉีกสนธิสัญญานั้นทิ้ง!

ความจริง ตั้งแต่ถนนตกยันท่าเตียน เขารู้แต่แรกแล้ว ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ธรรมนัสจะไปโหวตให้รัฐบาล

พูดกันชัดๆตรงๆ…..
โหวตให้ “นายกฯประยุทธ์” นั่นน่ะ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะตอนธรรมนัสเป็นเลขาฯ พลังประชารัฐ เคยเดินแผน “โหวตคว่ำ” นายกฯ มาครั้งแล้ว

แต่ “แผนแตก” เสียก่อน จนอยู่พลังประชารัฐไม่ได้ นำไปสู่เหตุการณ์ “ช่วยไล่ผมออกเถอะ” จำกันไม่ได้หรือ?

ธรรมนัสทุกวันนี้เขาก็ชัดเจน “เดินคนละถนน” กับนายกฯ กลับไปร่วมทางสายเก่ากับเพื่อไทย อันเป็น “ทางเดิม” ของเขา

ไม่เห็นหรือ เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และสก.เมื่อ ๒๒ พค.ชัชชาติได้เป็นผู้ว่า คนเพื่อไทยได้เป็นสก.๒๐ คน

ธรรมนัสโพสต์ว่า…..
“ขอแสดงความยินดีกับครอบครัวของเราที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งส.ก.หลายๆ เขต และขอขอบคุณพี่น้องชาวกทม. ที่ออกมาใช้สิทธิของตัวเองเพื่อรักษาอนาคตของประเทศไทยครับ”

ธรรมนัสเป็นคนในครอบครัวเพื่อไทย “เต็มตัว” และ “เต็มปาก-เต็มคำ” ไปอย่างนี้แล้ว

พลเอกวิชญ์ ซึ่งท่านเป็นผู้ใหญ่ เคยตกปาก-รับคำกับพลเอกประวิตรไว้อย่างหนึ่ง เมื่อโจ่งแจ้งถึงขนาดนี้ ก็เข้าใจท่าน ที่ต้องลาออก!

กับธรรมนัส ผมก็เข้าใจเขา ประการแรก ที่ตัวเขาจะไปโหวตให้นายกฯ นั้น ทำใจไม่ได้หรอก

ประการต่อมา เขาประเมินแล้วว่า ฝ่ายนายกฯ “กระแสตก” ฝ่ายทักษิณ “นายเก่า” กระแสกำลังมา ยิ่งผลเลือกตั้งกทม. ตอกย้ำ เขายิ่งมั่นใจ
ไปเป็น “ครอบครัวเพื่อไทย” ใต้เงาอุ๊งอิ๊งดีกว่า สมัยหน้าเพื่อไทยแลนด์สไลด์
อุ๊งอิ๊ง “นายกฯ” แบเบอร์

“เศรษฐกิจไทย” จะได้ลื่นไถล เป็น “พรรคร่วมรัฐบาล” มีโอกาสมากกว่าอยู่กับขั้วพลังประชารัฐของนายกฯ ประยุทธ์ ซึ่งชาวบ้านเบื่อแล้ว!

หลักๆ ก็น่าเป็นประมาณนี้ ส่วนสาเหตุอื่นที่หัวหน้ากับเลขาฯ ต้องแตกหัก เป็นเรื่องหยุมหยิมเหมือนผัวเมียทะเลาะกัน ต่างขุดสารพันเรื่องในมุ้งมาประจานกัน มันก็เท่านั้น

ทุกวันนี้…….
“การเมือง” อยู่ที่ใครจะใช้สื่อออนไลน์สร้างความเชื่อให้ประชาชนได้มากกว่ากัน
ผลงาน, ความดี-ความเลว, ความถูก-ความผิด, ความใช่-ความไม่ใช่ ไม่มีใครสน

สนแต่ว่า ฝ่ายไหนจะสร้างเรื่อง-สร้างวาทกรรม และดรามา “สะกดจิต” ให้ประชาชนเข้าไปอยู่ในประเด็นนั้นได้
ตอกย้ำ ส่งต่อ วนๆ กันไป……

เป็นวงจรมายาไอที ที่บรรดา “สังคมก้มหน้า” อยู่กับมันเกือบ ๒๔ ชั่วโมงต่อวัน จนเชื่อว่านั้นใช่-นั้นจริง

รุ่นใหม่-เพื่อไทย เขาใช้ไอทีสื่อสารแปลงร่างปิศาจ ปั่นๆ จนเป็นเทพประชาธิปไตย สังคมก้มหน้าทุกวันนี้ ไม่มีใครสนข้อเท็จจริง

สนแต่ ไว เร็ว สะใจ เบอร์บัญชีมา เงินโอนไป

จึงมีค่าย มีชมรม มีกลุ่ม “รับจ้างปั่น” ประเด็นเดียว ปั่นเป็นกระแสตรงกันไป “สะกดจิต” ให้คนเชื่อได้รอบทิศ-รอบทาง

ตอนนี้ ถ้าสังเกต คีย์เวิร์ด จะเป็นว่า….

คนเบื่อประยุทธ์…พลังประชารัฐกระแสตก…๘ ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น…เศรษฐกิจพังพินาศ-ชาวบ้านอดอยาก และฯลฯ

ก็วนๆ กรอกหู-กรอกตา ทั้งวาทกรรม ทั้งโพสต์เฟซ ทวิตเตอร์ ไปทุกวันๆ สื่อก็รับลูกไปขย่มต่อทุกวันๆ ตอกย้ำไปเรื่อยๆ
จากไม่จริง ถูกสะกดให้เชื่อว่าจริงไปเอง!

ในยุคไอทีครองโลก คำว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” นั้น มันก็ใช่ แต่กว่าจะรู้ว่าใช่ คนนั้นตายไปแล้ว ส่วนคนตอหลด-ตอแหล สบายไปก่อนแล้ว

มันเป็นเรื่องรู้เขา-รู้เรา และใช้เทคโนโลยีให้ทันคน-ทันกลเกมมากกว่า ในเมื่อรักจะอยู่ในสังคมการเมือง ก็ต้องเข้าใจ “การเมืองเป็นเรื่องไม่หน่ายเล่ห์”

ไม่งั้น จะไม่มีคำว่า “กุศโลบาย” หรอก เพราะกุศลโบาย ตามอรรถ ท่านแปลว่า “การหลอกเพื่อให้คนได้ดี”
ซึ่งมันก็ตรงตามตัว คือ “กุศล+อุบาย” อุบายก็การหลอก ส่วนกุศล ก็หมายถึงด้านดี

อย่างพาเด็กไปฉีดยา หมอจะบอกว่าไม่เจ็บหรอก เป็นการหลอกด้วยเจตนาดีต่อเด็ก นี้คือ “กุศโลบาย” แปลสุภาพๆว่า “อุบายอันแยบคาย”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จงหมุนไปตามโลก แต่อย่าติดอยู่ในโลก”

โลกยุคนี้ ยุค “การเมืองเป็นเรื่องปั่น” ก็หมุนตามมันไป ด้วยกุศโลบาย แต่อย่าไปติดอยู่กับมันก็แล้วกัน

“พูดง่าย-เข้าใจยาก” หน่อยนะ!

เปลว สีเงิน

25 พฤษภาคม 2565

 


Written By
More from plew
แด่ “อัยการสูงสุด” ด้วยรัก
เปลว สีเงิน ท่าน “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” ผู้เป็น “อัยการสูงสุด” ครับ องค์กรท่าน… “สำนักงานอัยการสูงสูด” ผู้ครองอำนาจตามกฎหมายในคำว่า “คำสั่งเด็ดขาด”...
Read More
0 replies on “การเมืองเรื่อง “สะกดจิต” – เปลว สีเงิน”