“เอกอัครศาสนูปถัมภก” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

“ชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์” = ประเทศไทย
แยก “อย่างใด-อย่างหนึ่ง” ออกจากกันไป นั่นหมายถึง
ไม่มี “ประเทศไทย” ในสังคมโลกนี้!
เพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหก เป็นวันที่ “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน
“คนละปี” แต่ตรง “วันและเดือน” เดียวกัน เมื่อ ๒๕๖๕ ปี ล่วงแล้ว!
เรียกว่า “วันวิสาขบูชา”

นอกจากเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกแล้ว
“สหประชาชาติ” ยังยกย่องวันนี้ เป็น “วันสำคัญสากลของโลก” ด้วย!

ในความก่อเกิดเป็นชาติไทย-คนไทยปรากฏในประวัติศาสตร์ชาติและประวัติศาสตร์โลก จากยุคสุโขทัย จนถึงยุครัตนโกสินทร์ทุกวันนี้ ใกล้จะพันปีแล้ว

คำว่า “ชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์” หลอมรวมเป็นเนื้อไทย “เนื้อเดียวกัน” ไม่แยกแตกออกจากกันเลย!

“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” เมื่อทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นองค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ทรงมีพระราชปณิธานว่า…….
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”

นับจากรัชกาลที่ ๑ จนถึง รัชกาลที่ ๑๐ ณ ปัจจุบัน
พระมหากษัตริย์ “ทุกพระองค์” ทรงสืบสานพระราชปณิธานนั้น เคร่งครัด-มั่นคง

“ชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์” ร้อยรัดความเป็น “ไทย” อันจะมีสิ่งใด หรือใคร มาแยกไปจากกันมิได้

“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาล ปัจจุบัน ณ วันเสด็จขึ้นครองราชย์ ๔ พค.๖๒
ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า….

“เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”

สิ่งแรกที่พสกนิกรทั้งประเทศเห็น คือ
พระองค์ทรงใส่พระทัยในงานพระศาสนา ควบคู่กับการสอดส่องดูแล สุข-ทุกข์อาณาประชาราษฏร และทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด

ไม่เพียงจัดระเบียบบ้านเมือง โดยเฉพาะรอบเกาะรัตนโกสินทร์ และคู คลอง ในกรุงเทพฯ เท่านั้น
ทรงเริ่มพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้านสู่ความยั่งยืน ด้วยโครการต่างๆ เช่นโครงการ “โคก หนอง นา” โมเดล เป็นต้นด้วย

กับงานพระศาสนา โดยเฉพาะวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี”
ทรงเคร่งครัดปฏิบัติบูชา สม่ำเสมอ

เป็นที่ปลาบปลื้ม ปีติ ยินดี ไม่เพียงกับพสกนิกรไทยเท่านั้น กระทั่งชาวพุทธทั่วโลก ก็พลอยปีติ ยินดีไปด้วย

บางคนสงสัย “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์” ในความเป็นชาติไทย นั้น
คำว่าศาสนา หมายถึง “พระพุทธศาสนา” อย่างเดียวหรืออย่างไร?

ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ เรามาทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องกันวันนี้เลย

คำว่า “ศาสนา” ในความเป็น ๓ เสาหลัก ของชาติไทย นั้น หมายรวมถึง “ทุกศาสนา” ในประเทศไทย ที่รัฐรับรอง เพราะในเรื่องศาสนา นับแต่มีชาติ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของไทย ให้เสรีภาพประชาชนในการเลือกนับถือ

ไม่มีการบังคับ ว่าคนไทยจะต้องนับถือแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น อีกทั้งคนไทยประกอบด้วยหลายเชื้อชาติมารวมกันและในความที่แต่ละศาสนา ล้วนมุ่งสอนให้เป็นคนดีเหมือนกันทั้งนั้น

ฉะนั้น ใครจะนับถือศาสนาไหน ตามแต่ใจศรัทธา ไม่บังคับ แม้พุทธศาสนาเป็น “ศาสนาหลักของชาติ” นับแต่ก่อเกิด ก็ตาม
คำสอนพุทธศาสนา เนื้อแท้คือ “แก่นประชาธิปไตย”

พุทธสอนให้ “คิดดี-พูดดี-ทำดี” อะไรที่คนอื่นทำกับเราแล้ว เราไม่ชอบ ทำนองเดียวกัน
เราก็อย่าไปทำอย่างนั้นกับคนอื่น เพราะเขาก็ต้องไม่ชอบเช่นกัน

นี่คือ หลักสิทธิมนุษยชน ให้อิสรภาพ-เสรีภาพในความเป็นคน เคารพ ให้เกียรติ “สิทธิเขา-สิทธิเรา” ไม่ก้าวก่ายกัน

คนไทย ซึ่งมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก จึงใจกว้าง ด้วยเข้าใจคำว่า “อกเขา-อกเรา” เราไม่เหยียบตีนเขา ใครก็อย่ามาเหยียบตีนเรา
ประชาธิปไตย หัวใจมันมีแค่นี้ และอยู่ตรงนี้แหละ!

“ทุกศาสนา” ล้วนสอนคนให้เป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น
ฉะนั้น ใครจะนับถือศาสนาอะไร จะแปลกตรงไหน?

เพราะลงท้าย …
ศาสนานั้นๆ ก็จะผลิต “พลเมืองดี” มีคุณธรรม ออกมาเป็นประชาชนคนไทย ให้อยู่ร่วมแผ่นดินในความเป็น “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์” เป็นไทยเนื้อเดียวกัน

ได้ยินคำว่า “พระมหากษัตริย์” ทรงเป็น “องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก” กันมาตลอด
แล้วทีนี้ เข้าใจกันหรือยังล่ะว่า คำว่า “เอกอัครศาสนูปถัมภก” นั้น ความหมาย กว้าง-ลึก อย่างไร?

ก็ควรเข้าใจให้ตรงกัน……
นั่นคือ คำว่า “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์” ไม่ได้ผูกขาดว่าเป็นพระพุทธศาสนาอย่างเดียว

แต่หมายรวมถึง “ทุกศาสนา” ในประเทศที่รัฐรับรอง มีทั้งศาสนาพุทธ, ศาสนาอิสลาม, ศาสนาคริสต์, ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์

ที่พระมหากษัตริย์ “องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก” ทรงต้องทำนุบำรุงด้วย

นี้คือ ความเป็น “อารยชน-อารยชาติ” ของไทย นับแต่ก่อเกิด ก็ควรเข้าใจ และภูมิใจกัน

เห็น “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” และพระบรมราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ๒ วันติด

คือ เมื่อ ๑๔ พฤษภา.เสด็จฯ ไปในการตั้งเปรียญ พระภิกษุและสามเณร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
และเมื่อวาน ๑๕ พฤษภา.เสด็จฯ เวียนเทียนในพระราชพิธีวิสาขบูชา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามอีก

ทรงสืบสานพระราชปณิธาน องค์พระปฐมบรมราชจักรีวงศ์ “อุปถัมภก ยอยกพระศาสนา” เป็นที่ปลาบปลื้ม เป็นที่ “ฝึกฟื้นใจเมือง” ยิ่งนัก

พระมหากษัตริย์ ทรงทศพิธราชธรรม และทรงหมั่นในงานพระศาสนาเช่นนี้ แผ่นดินจะร่มเย็น แผ่กิ่งก้านปกเกศ-ปกเกล้าเหล่าไพร่ฟ้าประชาราษฏร์ สืบต่อแต่นี้ เป็นที่หวังได้

สุดท้าย อ่านๆ เฟซมา มีอะไรจะลอกมาเล่า ดังต่อไปนี้
……………………….

Chalermporn Yooprateth
#ทรงพระเจริญ
พระอารมณ์ขันของในหลวง???? ถ่ายทอดมาเล่าให้ฟังอีกต่อนะครับ

“จะเล่าเรื่องที่ซาบซึ้ง ที่สุดในรอบปีนี้ เรื่องนึงของเรา ให้ฟังนะ..

เมื่อวานท่านทูตออสเตรเลีย ซึ่งครบกำหนด หมดเวลาประจำประเทศไทย ต้องเข้าวังกราบบังคมทูลลาในหลวง (ขออภัยถ้าเขียนไม่ถูกต้อง ตามคำราชาศัพท์)

ท่านทูตก็เป็นกังวลว่า จะคุยอะไรกับในหลวงของเราดี? ก็เลยมาปรึกษากับคนไทยในสถานทูตชื่อพี่แอล ก็เลยบอกว่า โดยปกติทุกคนก็จะคุยแต่เรื่องเครียด ๆ ระวังตัวกัน ท่านทูตก็คุยเรื่องโจ๊กของชื่อท่านให้ในหลวงท่านฟังสิ

เพราะท่านทูตคนนี้ ท่านชื่อ Mr. Arun McKinnon
ในหลวงท่านก็รับฟัง เพราะท่านทูตคนนี้ตัวใหญ่ อ้วนมาก ๆ

เรื่องโจ๊ก ก็คือ..เวลาไปที่ไหน ๆ..คนไทยก็จะเรียกท่านว่า “นายอลัน มัก-กิน-นอน” ท่านก็เอาโจ๊กนี้ไปเล่า สนทนาให้ในหลวงฟัง

และ..กราบบังคมทูลว่า..ถนนซอยที่ข้างๆ สถานทูตญี่ปุ่น ตัดเข้าไปถึงสถานทูตออสเตรเลีย ยังไม่มีชื่อซอยเลย
เพราะข้างๆ กำลังก่อสร้างเป็นศูนย์การค้าใหญ่ เต็มพื้นที่ไปจรดสี่แยกวิทยุอยู่ตอนนี้..

มาวันนี้..เมื่อกี้นี้..สำนักพระราชวัง โทรมาหาพี่แอล (หน้าห้องท่านทูต) แจ้งให้ทราบว่า

ในหลวงโปรดเกล้า พระราชทาน “ชื่อซอย” ที่จะเข้ามายังสถานทูต ตามที่ท่านทูตขอไป!!!!คือ “ซอยอรุณมักกินนอน”
#ซอยอรุณมักกินนอน ???? #อ่านเจอมาน่ารักดี
เครดิต ????@cookie97020934

request that a name be given by His Majesty to the Soi on which the Embassy of the Commonwealth of Australia to the Kingdom of Thailand is located.

by the Command of His Majesty the King, I have further the honour make know to each and on that His Majesty the King had granted the folliwing name to the Soi on which the Embassy of the Commonwealth of Australia to the Kingdom of thailand, is located:

“ซอยอรุณมักกินนอน”

Transcribed as “Soi ArunMckinnon”
Henceforth,on the authortities concerned in such matter shall be informed accordingly.
With best wishes and warm personal regards,
Yours Sincerely,
Air chief Marshal ……………………..

ครับ…..
จบเท่านี้ ขอความเป็นไทย ทั้งกายและใจของทุกท่าน จงประสบศานต์

 


Written By
More from plew
“จะแถกไปได้ซักกี่เดือน?” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน เรา “เห็นอะไร”….. จากการลาออกจากตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” ของท่าน “ปานปรีย์ พหิทธานุกร”? ตรงนี้น่าสนใจนะครับ เพราะใครเห็น…….. เท่ากับเห็น...
Read More
0 replies on ““เอกอัครศาสนูปถัมภก” – เปลว สีเงิน”