เปลว สีเงิน
เมื่อวาน “ฟันหลอ” ไปวัน
เลยไม่ได้คุยกัน
เพราะผมมัวไปหลง (เสน่ห์) อยู่ในป่าดงดิบ ที่อำเภอนายูง อุดรธานี
นอนฟังน้ำฝนปนน้ำค้างพลัดตกต้นไม้ลงมากระแทกใบแห้งที่เกลื่อนกล่นเหมือนคนโหยกระซิกทั้งวัน-ทั้งคืน
ต้นสัก ยางนา มะค่า พะยูง ตะแบก ตะเคียน และอะไรอีกมากมายเรียกไม่ถูก เป็นแสนๆ ล้านๆ ต้น
มันมากจนแย่งกันแทงยอดสูงขึ้นไปแยงพระอาทิตย์ คนนำทางออกบอก ฝนแหมะๆ แบบนี้ กว่าพื้นป่าจะหายชื้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๑ อาทิตย์ขึ้นไป เพราะมีแสงแค่รำไรเท่านั้น ที่จะลอดเล็ดลงมาโลมดิน
ผมเลย “ติดป่า” นอนฟังวงดนตรีเรไรขับกล่อมอยู่สองคืน!
เพิ่งกลับมาถึงบ่ายแก่ๆ เมื่อวานเอง
ฉะนั้น วันนี้ ก็ตามสไตล์ สะเปะ-สะปะ “ขัดตาทัพ” ไปหนึ่งวันก่อน
ป่าที่ผมว่านี้ ไม่มีราคาครับ!
เพราะ “ค่ามันควรเมือง” เกินกว่าที่นำคำว่า “ราคา” มาใช้ได้!
ถ้าจะให้ตีราคา เฉพาะต้นไม้ อาจตีได้ เพราะไม้ต่างๆ เหล่านี้ ตามกฎหมาย มีราคานำไปใช้ค้ำประกันเงินกู้ยังได้
ผมประเมินว่า ถ้าตัดไปขายบางส่วน เป็นพัน-เป็นหมื่นล้านบาท สบายๆ!
แต่อย่างที่บอก…….
“ไม้” ตีราคาได้
แต่ในความเป็น “ป่า” ประหนึ่ง “ธรรมชาติสร้าง” อย่างนี้ คิดซิ…อะไรมีค่าจะนำมาประเมินเทียบได้เล่า?
เพราะไม้แต่ละต้น แต่ละชนิด ที่รวมเป็นป่าปัจจุบันในเนื้อที่กว่าพันไร่ ต่อให้เอาเงินแสนล้านมากองเกลี่ย แล้วรดน้ำ ไป ๑๐๐ ปี ก็เป็นป่าสมบูรณ์อย่างนี้ไม่ได้
แต่นี่ พระองค์เดียว บาตรหนึ่งใบ กับ ๒ มือเปล่า ใช้เวลาประมาณ ๒๐ (กว่า) ปี กับศิษย์ศรัทธา ท่านนำปลูกเติม ทีละต้น-สองต้น
แล้ววันนี้ กล้าแสนๆ ต้น กลายเป็นป่าต้นละกว่า ๒-๓ คนโอบ อย่าว่าแต่คนหลง สัตว์ป่ายังต่างพากันมาหลง โดยไม่พะวงจะมีมนุษย์ตามล่า!
ในความเป็นป่าสมบูรณ์แบบนี้แหละที่เงินสร้างไม่ได้
“ศรัทธา” และ “กาลเวลา” เท่านั้น ที่สร้างได้!
ศูนย์รวมศรัทธาศิษย์จนเกิดป่าที่ว่านี้ คือ “พระราชภาวนาวชิรากร สุนทรญาณวรกิจ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”(พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก) วัดป่านาคำน้อย นั่นเอง
“พระราชภาวนาวชิรากร” หรือหลวงพ่ออินทร์ถวาย ศิษย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญานสัมปันโน รูปนี้แหละ
ไม่เพียงทำให้คำว่า “วัดอยู่ในป่า” แปรสภาพเป็น “ป่าอยู่ในวัด” ด้วยการนำผืนดินวัดปลูกต้นไม้ (ยกเว้นไม้ดอก) จนกลายเป็นป่าธรรมชาติเท่านั้น
หลวงพ่ออินทร์ถวาย ยังเป็นองค์นำ “สร้าง” พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญานสัมปันโน) ที่งามเด่นทั้งแว่นแคว้นแดนประเทศ
สำเร็จ-สมบูรณ์แล้ว ณ ขณะนี้
เชิดชูบูชาองค์หลวงตาพระมหาบัว ผู้เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย
“ศรัทธาและกาลเวลา”
เหนืออิทธิฤทธิ์-ปาฎิหาริย์ทั้งปวง!
หลวงพ่ออินทร์ถวาย ไม่ใช่ศิษย์หลวงตาผู้มีอิทธิฤทธิ์-ปาฎิหาริย์ใดๆ เลย
ท่านมีเพียงธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นของพระพุทธองค์ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ “หลวงตาพระมหาบัว” สอนสั่งเท่านั้น
ที่เรียกว่า…..
“อนุสาสนีปาฎิหาริย์”
คือปาฎิหาริย์ แห่งคำสอนเป็นจริง, สอนให้เห็นจริง และนำไปปฏิบัติได้ผลสมจริง เป็นอัศจรรย์!
นี้แหละ เป็นศรัทธากับกาลเวลาหลอมรวม
หลวงพ่ออินทร์ถวายสร้างป่าในวัดนาคำน้อย และสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์บูชาคุณพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ในเขตพุทธาวาส ที่วัดป่าบ้านตาด
ซึ่งจะเป็นลานรวมศรัทธามนุษยชาติที่มีเชื้อพุทธรรมในดวงจิตจากทั่วโลก ให้ไหลหลั่งมา ณ อุดรธานี “ลานทอง-ลานธรรม” แห่งนี้
ยามโลกร้อน เย็นที่ดับร้อนในดวงจิตของมนุษย์ที่ทุรนได้ ก็ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ ซึ่งผมไปสัมผัสด้วยตาและด้วยใจมาแล้ว จึงนำมาบอก
พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ หลวงพ่ออินทร์ถวาย พระป่าศิษย์หลวงตารูปหนึ่ง ท่านใช้ “สถาปนึก” ให้มีสิ่งนี้ในโลกมนุษย์ได้อย่างไร?
จินตนาการอย่างไร ก็ไปไม่ถึง
ครั้นไปได้สัมผัส ไปดู พูดได้คำเดียว “ตะลึง” ว่าท่านคิดได้และทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร ………
กับแค่ “หลวงพ่ออินทร์ถวาย ความรู้ทางโลกแค่ป.๔ ที่สถาปนิก-สถาปัตย์ ยังต้องกราบกรานอาศัยไอเดียท่านเป็นประกายไปออกแบบ”?
ทั้งโลกมีโรงภาพยนต์เป็นล้านล้านโรง ดูแล้วตื่นตา หนังจบ หิว…ไปหาอะไรกินต่อ
แต่มีโรงเดียวในโลก คือที่พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์องค์หลวงตา ดูแล้วใจตื่น หนังจบ อิ่ม…อิ่มทั้งกาย-อิ่มทั้งใจ
เพราะอิ่มนั้น เป็น “อิ่มทิพย์”!
ต้องบอกว่า “ครั้งหนึ่งในชีวิต” จะต้องไปดูกันให้ได้
ขืนโอ้เอ้วิหารราย เมื่อประเทศเปิดท่องเที่ยวเต็มที่ พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ถูกบรรจุลงในโปรแกรมบริษัททัวร์ ก็จะมีนักท่องเที่ยวไปกันวันละเป็นพัน-เป็นหมื่น แล้วเราๆ ท่านๆ ก็จะต้องรอคิวข้ามเดือน กว่าจะได้เข้าไปชม
พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ฯ…..
จะบอกว่าเป็น “แห่งแรก” ของวัดในประเทศก็ได้มั้ง ไม่มีธูป เทียน ทองขาย ไม่มีรูปปั้นสารพัดเทพให้ปิดทอง ขอหวย ไม่มีค่าผ่านประตูเข้าไป ไม่มีสินค้าพุทธพานิชย์ ไม่มีสินค้าใดๆ ทั้งนั้นขาย
เอาแต่ใจและความเป็นสุภาพชนไปอย่างเดียวพอ องค์หลวงตาสั่งนัก-สั่งหนา
ถ้าจะทำพิพิธภัณฑ์ฯ ให้ทำเป็น “พิพิธภัณฑ์เผยแพร่ธรรม”
ห้ามนำธรรมพุทธองค์ที่หลวงตาสั่งสอนศิษย์ไว้ไปเป็นสินค้าเก็บเงิน-เก็บทองโดยเด็ดขาด!
เล่าสู่กันฟังเท่านี้ก่อนนะ…วันนี้
เพราะการไปอาศัยนอนในป่าวัดนาคำน้อยของหลวงพ่ออินทร์ถวาย วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ไม่ให้มีทั้งนั้น ก็เลยไม่ได้ตามข่าวสารเท่าไหร่
แอบไถๆ เฟซตอนมีคลื่น พบข่าวหาเสียงผู้ว่ากทม.หนาตา สะดุดใจที่ผู้สมัครท่านหนึ่งคือ “คุณสกลธี ภัททิยกุล” โพสต์เฟซ ดังนี้
……………………
สกลธี ภัททิยกุล
หลังผมไปดีเบตในรายการเจาะใจมาเมื่อคืนนี้ มีหลายท่านสอบถามมาว่า “#ทำไมต้องหาเงินเข้ากทม.”
ปัญหามีอยู่ว่า….งบประมาณไม่พอครับ รวมถึงความเท่าเทียมในการกระจายงบให้แต่ละเขตก็ไม่เพียงพอ และมีการกระจุกงบไปในโครงการเมกะโปรเจคมากเกินไป
ผมจะทลายข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ และแก้ปัญหากระจายงบไม่ทั่วถึงได้ เพราะงบประมาณเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ไม่ใช่ว่าเรามีงบประมาณแค่นั้นแล้วเราทำไม่ได้นะครับ เราทำได้ครับ
แต่ที่ผมให้ความสำคัญกับงบประมาณ
เพราะงบประมาณของ กทม.อาจดูเยอะ ประมาณ 8 หมื่นล้านบาทต่อปี พอหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วเหลือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
ยิ่งช่วงสองปีที่เจอโควิดเหลือประมาณหมื่นล้านต้นๆ ฉะนั้น ในการพัฒนาเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้
#วิธีหาเงินได้ กรุงเทพต้องหาเงินได้ เราจะใช้เงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาเงินจากสิ่งที่มีได้ด้วยครับ
สกลธีโมเดล
1.เราจะหาเงินจากการบริหารจัดการขยะ
กรุงเทพใช้งบประมาณเพื่อบริหารจัดการขยะปีละ 5-6 พันล้านบาท หมดไปกับค่าเช่ารถ ซื้อรถ ค่าถังขยะ
ที่แพง ก็ค่าฝัง
ถ้าเราให้เอกชนเข้ามาทำ รวมถึงแก้ข้อบัญญัติของกรุงเทพฯทำให้เราสามารถประหยัดเงินได้ปีละ 5-6 พันล้านบาท
นอกจากนี้ยังสามารถมีรายได้จากการขายขยะที่เอกชนทำอีก
2.เวลาไปนอนโรงแรมใหญ่ ๆ ที่ต่างประเทศ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ปกติเขาจะเก็บค่า City Tax ซึ่งแปลว่า เขาเก็บค่าภาษีเมือง มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่เมือง
สกลธีโมเดล เราจะเก็บค่า City Tax สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 100 บ.ต่อคน สามารถสร้างรายได้ให้กับกรุงเทพได้พอสมควร
รวมสองวิธีหาเงินได้ #ผมจะมีงบประมาณเพิ่ม 8 พันล้านบาท ซึ่งสามารถนำไปสร้างสวนสาธารณะ ซ่อมแซมหรือสร้างถนน ลอกท่อ สร้าง กทม. Co-working space ได้อีกมากมาย
วิธีใช้เงินเป็น
ผมจะนำเงินที่หาได้มาทำให้เกิดการกระจายงบทั่วถึงกัน ไปยังพื้นที่เขตที่ห่างไกลซึ่งไม่ได้รับการดูแลซ่อมแซมถนน
อีกปัญหาคือ งบประมาณของกรุงเทพแต่ละเขตต้องลงไปใช้ในพื้นที่สาธารณะเท่านั้น
ไม่อาจลงในพื้นที่เอกชน อย่างหมู่บ้านจัดสรรได้
เราต้องเข้าไปแก้ไขข้อบัญญัติเรื่องนี้ เพื่อทำให้เกิดความเท่าเทียมกันสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพนี้
ผมจะเป็นผู้ว่าฯคนแรกที่หาเงินได้-ใช้เงินเป็น เพื่อชีวิตที่เท่าเทียมกันของคนกรุงเทพฯ
กรุงเทพฯดีกว่านี้ได้ แน่นอนครับ
……………………………….
ผมชอบแฮะ.
เพราะเท่าฟังแต่ละผู้สมัครหาเสียง ดีทุกคน-เก่งทุกคน แต่ส่วนใหญ่จะบอกว่า ผมจะทำนั่น-ทำนี่ สร้างนั่น-สร้างนี่
เรียกว่า “เก่งวิธีใช้เงิน” กันทั้งนั้น
แต่ “วิธีหาเงิน” มาใช้ ไม่เคยได้ยินซักที
เมื่อ “คุณสกลธี” บอก ถ้าได้เป็นผู้ว่าฯกทม.จะหาเงินแบบนี้..แบบนี้มาใช้
เออ…ค่อย “ถูกใจ” โก๋แก่หน่อย!