เปลว สีเงิน
นี่…..พูดกันตรงๆนะ
ถ้าอุ๊งอิ๊งอยากเป็น “นารีขี่ม้าขาว” ให้คนตบมือทั้งประเทศตอนนี้ละก็
ไม่ยากเลย จะแนะให้
เพียงประกาศ “ดิฉันขอถอนตัวจากการเป็นนายกฯ” เท่านั้นแหละ อุ๊งอิ๊ง…จากที่ “คนด่าทั้งเมือง”
จะพลิกกลับเป็น “วีรสตรี” ผู้เสียสละเพื่อชาติทันที!
ยอมรับแหละว่า อุ๊งอิ๊งใจสู้ แต่การเป็นผู้นำบริหารประเทศ ใจสู้อย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีกึ๋น “ฝีมือ สติปัญญา” มีกัต “ความกล้าหาญ”
ไม่ต้องมาก
แค่เดินแต้มเหนือเขมรซักแต้ม กล้าโพสต์ “ตบหัว” เพื่อนพ่อซักฉาด เอาอย่างมันๆ ด้วยน้ำเสียง ลีลาและหน้าตา อย่างตอนขึ้นตะโกนบนเวทีหาเสียง
“พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ประเทศไทยเปลี่ยนทันที ปิดสวิตช์ สว.ปิดสวิตช์ ๓ ป.คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีไปพร้อมๆ กันค่า”
นั่นแหละ…เป็นแสบตัวแม่ของแท้ เก่ง จัดจ้าน เอาอย่างนั้นเลย ไม่ใช่เป็นนายกฯแมวเหมียว โพสต์หาแต่สันติ ในขณะที่สองพ่อลูกเขมร โพสต์หาสันขวานทุกวัน!
ตั้งแต่มีเหตุกันมา ไม่รู้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยเกรงอก-เกรงใจอะไรเขานักหนา สองพ่อลูกมันยะโส พูดคำโตใส่ไทย
ฝ่ายรัฐบาลทั้งนายกฯ ทั้งภูมิธรรม ท่องอยู่ประโยคเดียว
“ไม่มีอะไร ผู้นำระดับสูงของทั้ง ๒ ประเทศได้พูดคุยกันแล้ว ยึดความสัมพันธ์ สันติ…สันติ”!?
ถก JBC กัน ๒ วัน หัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย ไม่ยอมแถลงอะไร แต่ฝ่ายเขมรแถลงฉับๆ…..
“ไม่ยอมรับแผนที่ ๑:๕๐,๐๐๐ ของไทยเด็ดขาด อ้างไทยเขียนขึ้นฝ่ายเดียว เขาจะยึดแผนที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐ เท่านั้น
ประชุม JBC, GBC, RBC ก็ประชุมกันต่อไป นัดหน้าเดือนกันยา.ประชุมที่ไทย แต่เขมรบอก เจรจากันได้ทุกเรื่อง
ยกเว้นเรื่องปราสาทตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด, ตาควาย ที่สุรินทร์ และช่องบก ที่อุบลฯ จะไม่อยู่ในหัวข้อเจรจา
เพราะเขายื่นฟ้องศาลโลกแล้ว ว่าเป็นของเขา!
แล้วไทยว่าไง….
“ไม่มีอะไร ผู้นำระดับสูง ๒ ฝ่ายพูดจากันเข้าใจ”
ใครวะ “ผู้นำระดับสูง” ฝ่ายไทย ที่ภูมิธรรมบอกว่าได้พูดคุยกันแล้วกับฝ่ายผู้นำเขมร?
นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ก็ไม่ใช่ แล้วใคร…เป็นระดับสูงของภูมิธรรม?!
เนี่ย มันเละเทะ เสียเหลี่ยม เสียคม เสียหน้าตาประเทศชนิดที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน
ฮุนเซนน่ะ ตอนมีอำนาจใหม่ๆ มาเมืองไทย สวมเสื้อซาฟารีสีน้ำเงินแขนสั้น ขี้เกลือขึ้นหลังเขลอะ
ทหารที่ไปรับ พาขึ้นทางด่วนดินแดง ฮุนเซนตกใจ ประเทศเจริญไทยขนาดนี้เชียวหรือ?
ขอทุกอย่าง จะจัดงานเลี้ยงที่พนมเปญ ขอกระทั่งเก้าอี้พลาสติกอย่างที่ใช้ตามวัด ๒๐๐ ตัว
ตอนนี้ไม่ต่าง “พญาขี้คาก” เบ่งพองทำเป็นเหนือทั้งพ่อ-ทั้งลูก แต่นั่นเป็นเรื่องสันดานที่เลี้ยงไม่เชื่องจนถูกสาปมาแต่บรรพกาล
ประเด็นคือฝ่ายรัฐบาลไทยเราตะหาก
ทั้งนายกฯ ทั้งบ้านพิษ ทั้งโฆษกรัฐบาล ทั้งกระทรวงต่างประเทศ ทั้งกระทรวงกลาโหม ทั้งฝ่ายความมั่นคง
ปล่อยให้เขมร “เหิมเกริม” กับเราขนาดนี้ได้อย่างไร มีนายกฯ มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มี ทำประเทศให้กลายเป็น “ลูกไล่” พวกสถุล จนน่าเกลียด
ยังดีนะ ที่มี “กองทัพ” เป็นแกนประเทศ ไม่งั้น ไม่รู้คนไทยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
มาถึงตอนนี้ เขมรเขาตีรุก ไปยื่นฟ้องเอา ๓ ปราสาท และ ๑ พื้นที่ ตรงช่องบก กับศาลโลกแล้ว
แถมอหังการ ประกาศ การเจรจา ไม่เอาแผนที่ ๑:๕๐,๐๐๐ของไทย จะเอา ๑:๒๐๐,๐๐๐ ตามแผนที่ฝรั่งเศสทำ
และคุยใหญ่-คุยโต เรียกแรงงงานกลับหมด ไม่ซื้อสินค้าไทยไม่ใช้เน็ต-ไม่ใช้ไฟฟ้าไทย เออ…ขอให้มันจริงตามนั้นนะ…ไอ้กล้วย
เนี่ย….
ไม่ใช่เรื่องหนักหนา-น่ากลัวอะไร แต่ประเด็นมีว่า รัฐบาลเพื่อไทย ไม่รู้ประสาเลยว่า ควรต้องทำอะไรบ้าง?
ผมถึงว่า อุ๊งอิ๊งลาออกไปเถอะ อยู่ก็เป็น “ตัวอับเฉา” เปล่าๆ
ฟอร์มรัฐบาลใหม่ เอาคนที่เป็นประสามาเป็นนายกฯ รับมือเพื่อนบ้านที่เลี้ยงไม่เชื่อง
ขั้นแรก กระทรวงต่างประเทศ ควรเชิญทูตแต่ละประเทศที่ประจำประเทศไทยทั้งหมด มารับฟังปัญหา-ข้อเท็จจริง และเปิดให้ซักถาม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องเขมรพาล ฟ้องศาลโลก
ขั้นที่สอง ควรให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ให้ข้อมูลกับคณะผู้แทนถาวรประเทศอื่นๆ ที่ประจำสหประชาติ เป็นวัคซีนป้องกัน “ไวรัสเขมร” ไว้ก่อน
ขั้นที่สาม ไทยควรทำหนังสือบันทึกช่วยจำไปยัง “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)” ว่า….
หลังคดีปราสาทพระวิหาร ประเทศไทยได้ประกาศ “ไม่รับอำนาจศาล ICJ” นับตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ มาแล้ว
และ “มติคณะรัฐมนตรี” ของรัฐบาลไทย เมื่อ ๑๒ มี.ค.๖๗ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยไว้ชัดเจน ตามเอกสารหลักฐาน
๑.ข้อบทที่ ๔๒(การนำข้อพิพาทระหว่างรัฐเข้าสู่การพิจารณาโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ)
หากเกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐภาคี ๒ รัฐขึ้นไป เกี่ยวกับการตีความและการนำอนุสัญญาฯไปปฏิบัติ ซึ่งไม่สามารถยุติได้ด้วยการเจรจา
รัฐฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจยื่นข้อพิพาทต่อนุญาโตตุลาการ
แต่หากภายใน ๖ เดือน ไม่สามารถตกลงกันได้
รัฐฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจจะยื่นเรื่องข้อพิพาทดังกล่าวต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้
ทั้งนี้ ในขณะที่ลงนามหรือให้สัตยาบัน รัฐภาคีสามารถ
ประกาศว่า “จะไม่ผูกพันตามข้อบทที่ ๔๒ ได้”
และจะเพิกถอนคำประกาศนั้นเมื่อใดก็ได้ โดยแจ้งต่อเลขาธิการสหประชาชาติ
เพื่อไม่ให้ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” มีเขตอำนาจเหนืออำนาจอธิปไตยของไทย ส่งผลให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่สามารถก้าวล่วงมาตัดสิน ชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างไทยกับรัฐภาคีอื่นได้
ซึ่งข้อพิพาทนั้นๆ อาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ
ดังนั้นไทยจึงควรจัดทำข้อสงวนต่อข้อบทดังกล่าวไว้ ดังเช่นที่ได้จัดทำไว้ใน “อนุสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” ฉบับอื่นๆ
(ในทางปฏิบัติ รัฐภาคีหลายประเทศได้จัดทำข้อสงวนต่อข้อบทดังกล่าวไว้เช่นกัน)
หลังจากมติครม.๑๒ มีนา.๖๗ นี้ ออกมา ก็แจ้งไปยังทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ยึดปฎิบัติ
ฉะนั้น เราไม่ต้องไปบ้าจี้กับเขมรสองพ่อลูก อยากฟ้องให้มันฟ้องไปฝ่ายเดียว
ศาลโลกจะมาบังคับให้เราต้องไปขึ้นศาลเป็นคู่กรณีไม่ได้
ถ้าศาลโลกจะแสดงตัวเป็นทาส “ประเทศนักล่าเมืองขึ้น” โดยตัดสินทั้งที่เขมรฟ้องฝ่ายเดียว ก็ตัดสินไป
เพราะคำตัดสินนั้น จะไม่มีผลผูกพันกับไทยแต่อย่างใดเลย!
สมมติ ศาลโลกให้เขมรชนะ แล้วเขมรทำซ่า จะมาทึกทักเอา ๓ ปราสาท ๑ พื้นที่ ที่ช่องบก
ก็ได้….
แต่ได้แบบที่ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ ๒ บอกนะ
“ถ้าจะมาเอาก็ต้องดวลกัน”!
การ “ดวลกัน” ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เราก่อเหตุหรือไปรุกรานเขมร
หากแต่เขมรเข้ามารุกราน จะยึดปราสาทตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และช่องบกของเรา
แบบนี้ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศบอกว่า ชาติที่ถูกรุกรานมีสิทธิ์ใช้กำลังปกป้องอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนได้!
ตรงนี้ ผมจำที่นักกฎหมายคุณ “ขวัญชัย รัตนไชย” เขาเขียนบทความไว้และเผยแพร่ใน MGR ONLINE น่ะ
การสื่อสารจากรัฐบาลถึงประชาชนในกรณีพิพาทชายแดนไทย-เขมรนี้ ต้องบอกว่ “ไม่เป็นสับปะรดหมาแดก” เป็นรองเขมรทุกดอก
แค่ฮุนเซนใช้เล่ห์ ออกข่าวให้เกิดภาพลบกับไทย ว่าไทยจะขับไล่แรงงานเขมรออกจากประเทศ แล้วเรียกให้กลับ บอกที่เขมรมีงานให้ทำเพียบ
ตื้นๆ แค่นี้ รัฐบาลยังไม่มีปัญญาแถลงข่าว “ดับข่าวเท็จ” อย่างเป็นทางการ ปล่อยให้เกิดความสับสน-แตกตื่น อย่างไม่น่าจะเป็น
“ลาออก” ซะเถอะ อุ๊งอิ๊ง
แล้วพาพ่อไปพักผ่อนกับเพื่อนที่เขมรโน่น ขืนอยู่ไป ทหารเขาหนักทั้งบ่า-หนักทั้งใจ
หรือจะต้องให้เขาทำ “รัฐบริบาล”!
เปลว สีเงิน
๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๘
