เปลว สีเงิน
“สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน
กินกัดเนื้อเหล็กจน กร่อนขร้ำ
บาปเกิดแต่ตนคน เป็นบาป
บาปย่อมทำโทษซ้ำ ใส่ผู้บาปเอง”
-โคลงโลกนิติ
พระนิพนธ์ของ “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเดชาดิศร” พระเจ้าลูกยาเธอลําดับที่ ๑๕ ใน “พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย” กับ “เจ้าจอมมารดานิ่ม”
และทรงเป็นหลานตาของ “เจ้าพระยาพระคลัง” (หน)
ทุกบทโคลง สลักลงแผ่นหินอ่อนติดตามผนังศาลารายในเขตพุทธาวาส “วัดพระเชตุพนฯ” หรือวัดโพธิ์ ท่าเตียน ก็ไปหาอ่านกันได้
คงสงสัย จู่ๆ ผมเอา “โคลงโลกนิติ” บทนี้ มาให้อ่านกันด้วยเจตนาใด?
ไม่มีเจตนาอันใดหรอก พอดี เห็นข่าวโครมคราม ด้วยอดีตนายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่ง ให้สัมภาษณ์นักข่าว PPTV ช่อง ๓๖
ผมฟังบางช่วง-บางตอน ที่นายตำรวจท่านนั้น เปิดเผยด้วยตัวท่านเอง โดยนักข่าวไม่ได้ถามในประเด็นนั้น
ก็ทำให้นึกถึง “โคลงโลกนิติ” ในบทนี้ขึ้นมาเท่านั้นเอง
เรื่องที่ท่านเล่า ทำเอาสตั๊นท์กันไป ทั้งประเทศ
“เศรษฐกิจไทย” น่ะ ยังไม่วิกฤตหรอก
แต่ขบวนการกฎหมาย, อำนาจในระบบรัฐ รวมถึงความเชื่อมั่นในรัฐบาลนี้
ขณะนี้ มันวิกฤต “สุก” จน “งอม” ใกล้ “เน่า” แล้ว!
ตอนหนึ่ง อดีตนายตำรวจใหญ่ เล่าให้นักข่าวฟังว่า
“๒ นายกฯ” นายกฯ ปู-นายกฯ ทักษิณ มาขอร้อง พี่…ให้ช่วยๆ ถอนหน่อย…
ก็แหม พี่รู้จักพวกนี้หมดนี่…คนรู้จักกันขนาดนี้ ขอแค่นี้ ใช่มั้ย ให้ได้-ให้ไม่ได้ ความจริง เราเป็นตำรวจ เรารู้กฎหมายนะ ว่า “ถอนไม่ได้หรอก”….
มันเป็นคดีอาญาแผ่นดิน เข้าใจมั้ย ตอนที่ขอมา พี่ก็บอกว่า “ถอนไม่ได้ครับ”
เขาบอกว่า “ไม่เป็นไร ให้พี่ถอนไปก่อน ทำหนังสือถอนไป เดี๋ยวไปวิ่ง ป.ป.ช.เอง”
พี่ก็…อ้าว วิ่งเหรอ ก็แล้วแต่แล้วกัน ๑.คุณวิ่งได้ก็โชคดีไป แล้วแต่วิธีการของคุณ ผมไม่เกี่ยวนี่ ใช่มั้ย
อันที่ ๒. ก็เอ๊ะ..เราก็ไม่ใช่คนอาฆาตใคร ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเราด้วย… ก็เห็นเป็นพี่-เป็นน้องกันอยู่แล้ว ทักษิณก็เป็นรุ่นน้องตำรวจ ก็เลยทำตามที่ขอ ขอมาก็ไปถอนให้เลย”
คือทักษิณขอร้องให้เขา “ถอนฟ้องเศรษฐา” ตั้งแต่รักษาตัวอยู่ที่ชั้น ๑๔ ของโรงพยาบาลตำรวจ
โดยนายตำรวจท่านนั้นไปเยี่ยมที่ชั้น ๑๔ ก็คุย-ก็ขอกันในประเด็นนี้
ส่วน “ยิ่งลักษณ์” นั้น ……
โทรหาเองโดยตรงจากต่างประเทศ ขอให้ถอนฟ้องนายกฯ เศรษฐา ที่นายตำรวจท่านนั้นไปยื่นฟ้องไว้
ก็เท่านี้แหละ เรื่องบางเรื่อง ก็เหมือนดูหนังบางเรื่อง ไม่ต้องพากษ์ ไม่ต้องมีคำบรรยาย แต่ด้วยเนื้อหาทำให้คนดูเข้าใจได้เอง
ทักษิณนอนชั้น ๑๔ รอยัล สวีท แทนนอนคุก แพทย์รพ.ตำรวจและกรมราชทัณฑ์อ้างว่า “ป่วยขั้นวิกฤต”
และในเอกสารทางการของราชทัณฑ์ ระบุเหตุผล ว่า
“เนื่องจากนักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร ยังคงมีอาการเจ็บป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาเฉพาะทาง หากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรืออาการที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต จะได้ดำเนินการรักษาอย่างทันท่วงที”
แต่จากการเปิดเผยของนายตำรวจท่านนั้น เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ทักษิณ “ป่วยวิกฤต” จริง หรือ “ป่วยทิพย์”
นับเป็น “พยานประจักษ์ “เพราะท่านยืนยันด้วยปากคำท่านเองว่า ขึ้นไปพบทักษิณบนชั้น ๑๔ ขอร้องเรื่อง “ถอนฟ้องเศรษฐา” กันโดยตรง
เท่ากับ “ตอกย้ำ-ยืนยัน” ลงไปอีกขั้น ที่โจษจันกันทั้งโลกว่า ทักษิณผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาล กั้นม่านบัญชาการผ่าน “นายกฯหุ่นเชิด” นั้น
“จริง”!
และย้ำที่ตอกคาไว้ “ทักษิณมีอำนาจเหนือระบบประเทศ” นั้น “จริงในจริง”!
ในเมื่อนายตำรวจท่านนั้น บอก “ท่านรู้กฎหมาย” ว่าที่ท่านฟ้องนายกฯ เศรษฐาต่อป.ป.ช.ผิดตามมาตรา ๑๕๗ นั้น เป็นคดี “อาญาแผ่นดิน” ถอนฟ้องไม่ได้
แต่ทักษิณบอก “เขาจะไปวิ่งทางป.ป.ช.เอง” ให้ท่านทำหนังสือขอถอนฟ้องไปก็แล้วกัน
นี่ “พระศุกร์เข้า-พระเสาร์แทรก” ป.ป.ช.ที่มี “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” เป็นประธานทันที!
ท่านไม่ใช่นายกฯ….
จะอ้างไปกวนราชการตามต่างจังหวัดหรือไปเป็นเซลแมนขายคอนโดฯ-ขายแผ่นดินเช่า ๙๙ ปี ในต่างประเทศ เพื่อ “เลี่ยงตอบ-เลี่ยงเผชิญ” ประเด็นถอนฟ้องนี้ ไม่ได้แน่
คนทั้งประเทศ กำลังรอฟังว่า…….
ตกลง ป.ป.ช.ให้ “ถอนฟ้อง” นายกฯ ไปแล้ว ใช่หรือไม่?
ถ้าไม่ คือ ฟ้องแล้ว “ถอนไม่ได้” แล้วขณะนี้ เรื่องนี้ ป.ป.ช.ดองไว้ในขั้นดำเนินการชั้นไหนแล้ว?
ถ้าใช่ คือ คดีอาญาแผ่นดินคดีนี้ ฟ้องแล้ว “ให้ถอนได้” ก็หมายความว่า ทักษิณวิ่งป.ป.ช.เป็นเรื่องจริง ทำได้จริง และป.ป.ช.อยู่ใต้อุ้งบาททักษิณจริง?
“พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ประธานป.ป.ช.ท่านต้องออกมาเคลียร์ จะปล่อยให้คลุมเครือต่อไปไม่ได้
เพราะที่จะพินาศย่อยยับ ไม่ใช่แค่ ป.ป.ช.
แต่มันหมายถึง “ระบบประเทศ” ทั้งหมด ภายใต้หลัก “ธรรมาภิบาล” ๖ ประการ จะ “ล้มเหลว” ทั้งหมด
ไทยประเทศจะสูญสิ้นความยอมรับนับถือและความเชื่อถือจากมนุษย์นานาอารยชาติ เว้นจากพวกสัตว์สปีชีส์เดียวกัน
ไทยจะเป็นประเทศ “อนารยประชาธิปไตยในระบอบคอร์รัปชันทักษิณนิยม”
ธรรมาภิบาล ด้วยหลัก ๖ ประการ จะรวบสรุปลงใน “อสัตย์ภิบาล” ประการเดียว
คือ ทั้งชาติ “ใต้ตีนระบอบทักษิณ”!
เรื่องให้ต่างชาติเช่าที่ดินไทยได้ ๙๙ ปี ซึ่งเท่ากับ “ขายแผ่นดิน” ให้ต่างชาติเข้าครอง นั้น
ไม่ได้ทำให้คนไทยต้องลุกขึ้นมาตบหน้าเจ้าของความคิดนี้ด้วยตกใจ เพราะคนไทยมั่นใจ
มันคิดได้ แต่ทำไม่ได้ เพราะในครม.ในรัฐสภา ไม่มีใคร-พรรคไหน ยอมให้ทั้งหมดทุกพรรคหรอก
แต่การที่องค์กรประเทศ “สยบยอม” อยู่ใต้อาณัติโจร ถึงขั้นอาญาแผ่นดิน ใครก็ถอนคดีไม่ได้
แต่ “ทักษิณวิ่ง” ให้ถอนได้
ตรงนี้ ต้อง “ตกใจ” เพราะเป็นขบวนการ “อำนาจนอกระบบ” ที่ “องค์กรในระบบ” งุบงิบยอมให้มันเอาเงินทับหัว
กว่าจะรู้ โวยวายกัน “ถั่วก็สุก-งาก็ไหม้” ไปหมดแล้ว!
วันก่อน “บิ๊กโจ๊ก” ก็สาวไส้ ถึงขั้นล่ารายชื่อยื่นให้ถอดถอนป.ป.ช. “คนกันเอง” รายหนึ่ง
แล้วนี่ อดีตนายตำรวจใหญ่ หลุดปากเอง ทักษิณวิ่ง ป.ป.ช.
วิ่งใคร วิ่งสำเร็จมั้ย คำตอบอยู่ตัวประธานป.ป.ช.จะต้องออกมาเคลียร์กับประชาชนด้วยตัวท่านเอง
เรื่องนี้ สังคมซีเรียส เพราะเป็นเรื่องยืนยันถึงว่า ป.ป.ช.เป็นองค์กร “ปราบปรามป้องกันการทุจริตแห่งชาติ” เชื่อถือได้
หรือเป็นองค์กร “ทุจริตแห่งชาติ” ใต้อุ้งตีนอุบาทว์ระบอบทักษิณ?
ถ้า “องค์กรแห่งชาติ” ยังสยบอยู่ใต้อุ้งบาททักษิณ ก็ไม่ต้องคิดต่อแล้วว่า รัฐบาลนี้ด้วยพรรคเขาเป็นแกนนำ จะไม่อยู่ใต้บาท!
หลักการ “รัฐบาลใต้บาท” ทักษิณ ที่มีคำว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจ” เป็นลมหายใจ
กู้ ๕ แสนล้านไปแจก ก็ “กระตุ้นเศรษฐกิจ”
หนี้สินครัวเรือน ของแพงทั้งแผ่นดิน ให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย ก็ “กระตุ้นเศรษฐกิจ”
เอาแผ่นดินให้เช่า ๙๙ ปี สหรัฐฯคงเช่าหมดทั้งภาคเพื่อตั้งใช้ฐานทัพ ตั้งฐานยิงจรวดเล็งเป้าไปทางจีน ก็เพื่อ “กระตุ้นเศรษฐกิจ”
ให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ จากที่ให้ซื้อคอนโดฯได้ ๔๙% ขยายให้เป็น ๗๕% นี่ก็เพื่อ “กระตุ้นเศรษฐกิจ”
ถามว่า “เศรษฐกิจใคร” เศรษฐกิจชาวบ้าน หรือเศรษฐกิจพ่อค้าอสังหาริมทรัพย์ ที่บ้าน-ปลูกคอนโดฯ ขาย?
กลุ่มทุนคอนโดฯ ก็กลุ่มเดียวกับกลุ่มทุนการเมือง ใช้ข้อมูลภายในกว้านซื้อที่ดินราคาถูก
พอตัดถนนโครม ก็สร้างบ้าน-สร้างคอนโดฯขายกันพรึ่บ อัพกำไรกว่าเท่าตัว
กำไรล้น พากันเงียบ แต่พอล้น ขายไม่ออก ก็โวยเป็นพิธี แล้วการเมืองก็เข้ามาอุ้มให้ด้วยมาตรการต่างๆ
อุ้มใคร อุ้มคนขาย แต่ไม่เคยอุ้มคนซื้อ พ่อค้าคอนโดฯกับธนาคาร มันทุนเกื้อทุน รัฐบาลคอยหนุนให้มันรวยอยู่กลุ่มเดียว
ขายไม่ออก ก็ลดราคาลงมาซี ผ่อนดาวน์แล้ว ถึงตอนโอน เครดิตไม่ผ่านแบงก์ มันก็ยึดดาวน์ไปกินฟรี
รัฐบาลทำไมไม่หามาตรการช่วยเหลือคนซื้อบ้างล่ะ อายุเกิน ๖๐ แบงก์ก็ไม่ให้กู้ ไม่รู้ความคิดควายตัวผู้หรือตัวเมีย
คนอายุถึง ๖๐ ได้ นั่นแสดงว่า ต้องมีเครดิตหรือมีเงิน มีช่องทางการเงิน มีประสบการณ์ เขาถึงซื้อ ไม่งั้นตายไปแล้ว
ให้เขากู้หรือค้ำกู้ได้ จะเชื่อใจทางเครดิตว่าผ่อนได้ตลอดรอดฝั่งได้มากกว่าคนวัย ๒๐-๓๐ ขึ้นไปด้วยซ้ำ!
คนทำเกษตร ทำสวน ทำไร่-ทำนา ปลูกพืชผัก นอกจากต้องแบกความเสี่ยงในการลงทุนกับราคาพืชผลทุกปีแล้ว
เขายังต้อง รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ๑๐ปี ๒๐ ปี บางทีก็ต้องโค่นทิ้ง เปลี่ยนพืชปลูกใหม่ ชาวเกษตร “เสี่ยงตลอดชีวิต”
แต่พ่อค้าอสังหาริมทรัพย์ ปลูกบ้าน-ปลูกคอนโดฯ ขายครั้งเดียว ก็ตีหัวเข้าบ้าน ไม่ต้องเสี่ยงด้านราคาตลอดไป ทั้งไม่ต้องรดน้ำ พรวนดิน
แต่ละโครงการ เห็นโฆษณา ลงทุนเป็นพัน-เป็นหมื่นล้าน แสดงว่า ต้องผ่านการวิเคราะห์ตลาด เคาะตัวเลขบนความเสี่ยงเบ็ดเสร็จแล้ว จึงลงทุน
เมื่อไม่เป็นตามคาด ก็ไปตบกะโหลกนักวิเคราะห์ที่เคาะตัวเลขให้ซี ทีรวยละเอา แต่พอขายฝืด รัฐบาลพวกเดียวกัน รีบถลาออกมาอุ้ม!
จำคดี “ตู้ห่าว” ได้มั้ย หมู่บ้านจัดสรรของใครล่ะ ยกขายเกือบทั้งโครงการให้แก๊งตู้ห่าว กลายเป็นอาณาจักรตู้ห่าว
คนอื่นกลายเป็น “คนส่วนน้อย” ต้องถอยให้กับความเป็น “อาณาจักรคนเถื่อน”
ในใจกลางกรุง บางอาคารและบางโรงแรมหรู ฝรั่งประเภทสายลับตะวันตก “เช่ายกชั้น” อยู่เป็นสิบ-ยี่สิบปี
ทำไมรู้มั้ย ชั้นที่มันเช่า ใครก็ “เข้าไม่ได้-ผ่านไม่ได้” ลิฟท์ก็หยุดไม่ได้ กระทั่งคนทำความสะอาด ก็ต้องคนของมันเท่านั้น อ้างความลับ-ความปลอดภัย
อ้างสิทธิ “มันเช่ายกชั้น” อยู่เหนือการควบคุมกฎหมายไทย!
นี่ ยังขนาดนี้ ถ้าอนุญาตให้ซื้อคอนโดฯ ได้ ๗๕% ก็หมายถึง คอนโดฯ ในประเทศ อนาคตคืออาณาจักรเทศที่เหนืออำนาจไทย
มันจะใช้เป็นสถานที่ประกอบธุรกิจเถื่อน เป็นสถานที่ซ่องสุมทางอาชญากรรมหรือก่อการทางวินาศกรรมที่ไหน มันก็ทำได้
โดยอำนาจไทย ซึ่งถูกกลืนไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย!
เห็นรัฐบาล “เศรษฐา-เพื่อไทย” ประกาศใช้นโยบายอิ๊กไนท์-อิ๊กนอร์ ให้ไทยเป็นฐาน-เป็นฮับร้อยแปด
ถ้าหวังให้ “ฐานทัพ” เป็นอีกหนึ่งฮับ ตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจละก็
ให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ ๙๙ ปี ซื้อคอนโดฯได้ ๗๕%
ตรงสเปกเลย!
เปลว สีเงิน
๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗
