เก่งกันเหลือเกิ๊น…..
รัฐบาลทำอย่างนั้นก็ไม่ดี อย่างนี้ก็ไม่ใช่ ต้องเปิดสภาให้พวกข้าเข้าไปสุมหัว
รับรอง “สารคัดหลั่งเลว” ใช้ปราบโควิดได้แน่!เออ..เอากะมันซี
ก็อยากจะบอกว่า ชั่วโมงนี้ มันไม่ใช่เวลาบ้าน้ำลาย ฉะนั้น พวกกระจั๊วการเมืองทั้งหลาย
แทะพรมเช็ดเท้าไปก่อนได้มั้ย?
อย่าเพิ่งออกมาพล่านให้เกะกะตีน หมอ-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์และนายกฯ เขาเลย
เขาจะทำงานกัน!
ศัตรูโจมตีพลโลกและพลไทยขณะนี้ คือเชื้อโรค “ล้างโลก”
ต้องให้ “กองทัพแพทย์” เขาทำหน้าที่ได้เต็มที่
ให้ขุนพลแพทย์ “อดีต/ปัจจุบัน” เป็น “เสนาธิการ” ออกแผนได้ถนัดถนี่ โดยไม่มีกลิ่นสกั๊งทำให้ผะอืดผะอม
“รัฐบาล” วางตำแหน่งตัวเองอย่างที่นายกฯประยุทธ์วางตอนนี้ “ถูกแล้ว”
มีหน้าที่ “คอยกดปุ่ม” และส่งกำลังบำรุง!
ส่วนการเมืองทั้งในและนอกสภา แค่ไม่เอาตีนราน้ำ จบรายการโควิดนี้แล้ว
ประชาชนจะเข้าชื่อ ขอเหรียญ “เชิดชูเกียรติ” ให้เอง
เข้าใจกันตามนี้นะ!
ส่วนชนชาวเราทั้งหลาย สถานการณ์อย่างนี้ อดทน-เสียสละ ด้วยเข้าใจกันบ้าง
มันเจ็บ มันสูญเสียกันทุกคน มาก-น้อย เฉลี่ยกันไปตามต้นทุนชีวิตของแต่ละคน
สถานการณ์นี้ มันสงคราม Set Zero เป้าหมายของมัน “เล็ก-ใหญ่” ฉิบหายหมดทั้งโลก
เพื่อสู่จุด “ตั้งต้นนับ ๑” กันใหม่!
ทั้งเศรษฐกิจ การค้า การเมือง การศึกษา การสังคม การสาธารณสุข นั่นคือ วิถีชีวิตใหม่ของพลโลก
สถานการณ์ที่เกิดขณะนี้ ไทยเรา ก็เหมือนทุกประเทศที่ร่วมเป็นสังคมโลก
ต่างเป็นผู้ “ถูกกระทำ”
แต่ต้องรับผลในกรรมที่ทุกคนไม่ได้ก่อนั้น ถ้วนหน้ากันหมด หรือพูดอีกที มันเป็นผลของ “กรรมร่วม” ที่มนุษยโลกก่อ
ดังนั้น มีคำเดียวที่ผมขอบอก
อย่าโวยวาย……
อย่าเอาปัญหาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วโยนเป็นปัญหาสังคมชาติ!
พวกเสี่ย “กุมเศรษฐกิจชาติ” ทั้งหลายก็เช่นกัน
เสี่ยช้าง, เสี่ยซีพี, เสี่ยเซ็นทรัล, เสี่ยคิง เพาเวอร์, เสี่ยคีรี, เสี่ยสารัชถ์ และอีกหลายเสี่ย ที่ผูกขาดรวย ขณะนี้
อย่าใช้โอกาสที่เหนือกว่า…….
ในขณะที่ประชาชนล้มคว่ำคะมำหงาย ตักตวง “ทรัพย์ในดิน-สินในน้ำ” โดยไม่สำรอกอะไรออกมาเจือจาน ให้เห็นน้ำใจต่อกันบ้าง ในยามคนร่วมชาติ พบวิบัติ-วิบาก
รัฐบาลก็เช่นกัน……
อย่าเป็น “รัฐบาลพ่อค้าเลี้ยง-พ่อค้าสั่งได้”
นาทีนี้ ลมหายใจเข้าของนายกฯ ต้องพี่น้องประชาชนเท่านั้น ลมหายใจออก ก็ต้องพี่น้องประชาชนเท่านั้น
สาธารณูปโภคทั้งหลาย ประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ค่ารถเมล์ เรือเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้า ทุกอย่าง
ด้วยราคาน้ำมันวันนี้ บาร์เรลละ ๒๐ เหรียญ แนวโน้มจะลดลงอีก
ถอยร่นไปอยู่ ณ ปี พศ.๒๕๐๘ ตอนนั้น เบนซินตามปั้ม ลิตรละ ๓ บาท
ตอนนี้ ก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก แต่รัฐบาล ต้องใช้ “หัวอกชาวบ้าน” ยามนี้เป็นตัวตั้ง กองทุนน้ำมัน และภาษีตอด ไม่ใช่ตัวตั้ง
ปรับลงมา……
ปรับอยู่แล้วก็จริง แต่ต้องทำให้ประชาชนเห็นความจริงใจ ให้จนเห็นอกจนด้วยกัน แล้วจะได้ใจ
น้ำมันลด ก็ต้องไปจี้ให้ลดภาระในสินค้าให้ประชาชนด้วย เพราะ “ต้นทุน” ลดแล้ว
จงอยู่และบริหารเพื่อเป็นรัฐบาลมีประชาชนอยู่ในหัวใจ
กลุ่มธุรกิจคุมชาติน่ะ….
ไม่ได้อิจฉา ไม่ได้รังเกียจ และไม่ได้ตั้งแง่เขา ความจริง เขาก็มีส่วนร่วมให้ประเทศแกร่งเยอะ
แต่นั่นแหละ ถึงเขาจะฉิบหายไปกับกลไกเซต-ซีโร่โลกบ้าง รัฐบาลก็ไม่ต้องไปอีนังเขาให้มากนักหรอก เพราะเขาปรับตัวได้เร็ว
อีอังรากและยอดหญ้าเถอะ…..
ขาดพืชคลุมดินที่เรียก “หญ้า” แล้วโลกจะรู้สึก
ฉะนั้น ถนอมรักษาให้เหลืองอมเขียวด้วยสูตร “เกษตรพอเพียง” ให้หยัดยืนคลุมทั่วผืนดินประเทศไว้เถอะ
ตราบที่หญ้าไม่แห้งตาย……..
“เศรษฐกิจ-สังคม-ประเทศ” จะฟื้นและเติบโต เลี้ยงรากต้นไม้คือ “กลุ่มทุน” ให้รวยในสภาพ “ป่าใหญ่” คลุมทั้งประเทศ
ฉะนั้น เศรษฐี-พ่อค้าทั้งหลาย เกลี่ยๆรวยลงมาบ้าง
ไม่ต้องรีบฉกรวย
ในขณะที่ชนชาวรากหญ้า กำลังจะม้วย ต่อหน้า-ต่อตา
เข้าใจตรงกันนะ!
พุธที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๓ นี้ รัฐบาลอาราธนา “มหาเถรสมาคม” ขอพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตา
เจริญพระพุทธมนต์บท “รัตนสูตร” เป็นพุทธรัตนะ, ธรรมรัตนะ, สังฆรัตนะ สงเคราะห์ชาวโลกและชาวไทยด้วยเถิด
ดั่งพุทธกาล ก่อน ๒๕๖๓ ปี…….
ครั้งเมื่อพระเจ้าพิมพิสาร กราบอาราธนาพระพุทธองค์ ให้เสด็จไปเมืองเวสาลี
ซึ่งขณะนั้น ประสบภัยธรรมชาติรุนแรง ทั้งโรคระบาด ทั้งแห้งแล้ง
และเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย ไม่รู้จักแยกดี-แยกชั่ว ทำหยาบช้าต่อสังคม น่าเศร้า น่าเวทนานัก
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับอาราธนา เสด็จไปประทับใกล้เมืองเวสาลีก่อน
จากนั้น ฝนก็ตกลงมาชำระล้างสิ่งสกปรกในเมือง
พระพุทธองค์ทรงให้พระอานนท์เรียนพระสูตรบท “รัตนสูตร” บริกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ไปประพรมทั่วเมือง
ความแห้งแล้ง โรคระบาด ก็หลีกหนี ความสวัสดี ความเป็นมงคลก็บังเกิด
ชาวเมืองเวสาลี ดีใจกันยกใหญ่ ไปหาพระอานนท์ พระอานนท์ก็บอกไม่ใช่เพราะท่านหรอก
หากแต่ด้วยองค์พระศาสดาเจ้าตะหาก ชาวเมืองจึงรบเร้าใหพระอานนท์พาไปหาพระพุทธเจ้า
แล้วองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรม “รัตนสูตร” อีกครั้ง ยังปีติ ปราโมท ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั่วกัน
นี่…..
ผมอ่านและจำที่หลายท่านนำในพระไตรปิฏกมาโพสต์เป็นธรรมทาน มาเล่าปะติด-ปะต่อ
ก็ ๒๕ มีนา.นี่แหละ คณะสงฆ์ “ทั่วประเทศ” และทั้งในต่างประเทศ จะเจริญพุทธมนต์บทรัตนสูตรสงเคราะห์ชาวโลกพร้อมกัน
จะเริ่มที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ” สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานในพิธี
วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร, วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารและวัดในต่างจังหวัดถ้วนทั่ว
๑๖.๐๐ น. คือตอน ๔ โมงเย็น วันที่ ๒๕ มีนา.พระสงฆ์ ๙ รูป จะเจริญพระพุทธมนต์
ไม่ต้องไปรวมกันสดับที่วัดหรอก……..
มีถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ ก็รับฟัง-รับชมอยู่กับบ้านนั่นแหละ ตั้งใจสดับให้ดี
ความสวัสดี ความเป็นมงคล-พ้นภัย จะบังเกิดทั้งกับตัวเองและครอบครัว
ตรงนี้ขอเสริมนิด….
บางท่านอาจสงสัย เอ๊ะ…ฟังพระสวดหน้าจอโทรทัศน์ แล้วอานิสงส์กระแสธรรมจะมาได้-มาถึงหรือ
ครับ…ถูกต้อง
“ธรรมะ” คือ สิ่งเป็นจริง-มีอยู่ตามธรรมชาติ”
“ธรรมะ” จึงไม่ใช่คำสอนที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นเอง อย่างที่หลายคนเข้าใจ
เพียงแต่พระพุทธองค์ ทรงมีปัญญาญานรู้แจ้ง แทงทะลุ สรรพสิ่ง เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง
และที่สุดของที่สุด สรรพสิ่งที่มี ก็คือไม่มีสรรพสิ่งที่มี มีแต่เหตุและปัจจัย
เมื่อสิ้นปัจจัยก็สิ้นเหตุ และเมื่อสิ้นเหตุก็สิ้นปัจจัย
มีในไม่มี ไม่มีในมี
ยึด-ทุกข์, ไม่ยึด-ทุกข์ไม่มี
“ธรรมะ” จบเท่านี้ “ไม่มีคำว่า “พุทธศาสนา”เข้าไปผูกขาด เพราะ “ธรรม=ธรรมชาติ”
พระพุทธเจ้า เพียงพระผู้รู้ ไม่ใช่ผู้บัญญัติในสิ่งที่ตรัสรู้
เพราะเหตุนี้ พระพุทธมนต์ จะรัตนสูตร หรือสูตรไหนก็ตาม เป็นการสาธยายถึงจริงในความเป็นไปจริงตามธรรม
ดังนั้น ก้าวข้ามความเป็น……..
พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ซิกข์ ทุกลัทธิ-นิกาย สรุปรวมที่ มนุษยชาติใด “ใจนิ่ง-ใจสงบ” ในการสดับ
ความสวัสดี ความเป็นมงคล ความสำเร็จ ดังประสงค์ ก็บังเกิด กับมนุษยชาตินั้น
ผมไม่ได้กล่าวเอง พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้ว่า
ใจเป็นผู้นำสรรพสิ่ง
ใจเป็นใหญ่กว่า (สรรพสิ่ง)
สรรพสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ
ถ้าพูดหรือทำสิ่งใดด้วยใจชั่ว
ความทุกข์ย่อมติดตามตัวเขา
เหมือนล้อหมุนตามเต้ารอยเท้าโค.