“ไทยสร้างไทย” แนะ จัดงบ 68 หยุดยืมจมูกต่างชาติหายใจ หันอุดหนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของเราเอง พร้อมสร้างแต้มต่อให้คนไทยสามารถแข่งกันกับต่างประเทศได้

17 มิถุนายน 2567 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และกรรมาธิการงบประมาณปี 2567 ให้ความเห็นกรณีรัฐบาลเปิดสภาสมัยวิสามัญพิจารณางบประมาณปี 68 ระหว่าง 19 – 21 มิ.ย.67 ว่า

ตนจะติดตามข้อสังเกตของงบปี 2567 ที่ให้กระทรวงกลาโหมและ 3 เหล่าทัพ ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยควรส่งเสริมให้ประเทศไทยยืนอยู่บนขาของตัวเอง เช่นเดียวกับหลายประเทศที่ในอดีตมีพัฒนาการใกล้เคียงกับประเทศไทย

แต่ปัจจุบันประเทศเหล่านั้นได้พัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศก้าวหน้ากว่าประเทศไทยไปหลายช่วงตัว ยิ่งยามนี้มีศึกสงครามใกล้ ไกล เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบกับประเทศไทยในอนาคตได้ เราจะยืมจมูกคนอื่นหายใจเป็นหลักคงไม่ได้ แต่ต้องยืนอยู่บนขาของตนเอง แล้วพัฒนาให้แข็งแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบัน หากมีการจ้างงานในประเทศ เศรษฐกิจก็จะเกิดการหมุนเวียน แรงงานไทยก็จะมีงานทำเพิ่มขึ้น

ตนขอเสนอแนะต่อรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยให้เท่าเทียมก้บการแข่งขันจากต่างประเทศ เช่น “การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และอากรนำเข้าสินค้า” กล่าวคือผู้ยื่นข้อเสนอเข้าแข่งขันการประมูลโครงการฯ ที่เป็นบริษัทต่างประเทศจะไม่มีต้นทุนในเรื่องของภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรนําเข้าสินค้า เนื่องจากสินค้า จากผู้ผลิตต่างประเทศสามารถส่งไปยังหน่วยงานรัฐ (consignee) ได้โดยตรง ทําให้สามารถยกเว้นเรื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรนําเข้าสินค้า

แต่บริษัทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยจะต้องดําเนินพิธีศุลกากร นําเข้าสินค้าในนามบริษัทเองโดยจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรนําเข้าสินค้า และยังโดนหักภาษีมูลค่าเพิ่ม จากวงเงินมูลค่าสัญญาอีกด้วย ทําให้ปริมาณเงินที่ใช้ในการบริหารโครงการเดียวกันเปรียบเทียบการจัดซื้อจากบริษัทผู้ผลิตต่างประเทศกับผู้ผลิตของไทยไม่เท่ากัน

ดังนั้น แนวทางการแก้ปัญหา ควรกําหนด ระเบียบปฏิบัติให้เกิดความเท่าเทียมกันในกรณีมีการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตจากต่างประเทศ และบริษัทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ซึ่งรัฐบาลต่างประเทศล้วนอุดหนุนอุตสาหกรรมประเทศของตนในการแข่งขันกับต่างประเทศทั้งสิ้น

อีกประเด็นหนึ่งที่จะต้องติดตามการจัดสรรงบประมาณ ปี 68ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวัง อาหารปลอดภัย อย่างมีนัยสำคัญเป็นระบบครบวงจรหรือไม่ เพราะปัจจุบันคนไทย”ตายผ่อนส่ง” จากการรับประทานผัก ผลไม้ที่มีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน โดยประเทศที่เจริญแล้วมีสัดส่วนสารเคมีปนเปื้อนในผัก ผลไม้ ไม่เกิน 5% แต่ประเทศไทยปนเปื้อนเกิน 60%

ตนได้เสนอแนะในที่ประชุมคณะกรรมาธิการงบประมาณปี 67 ว่า ควรบูรณาการงานเฝ้าระวังอาหารปลอดภัย ระหว่างกระทรวงและหน่วยงานให้มีเอกภาพ ได้แก่กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือแม้แต่ในกระทรวงเดียวกัน เช่น กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงาน

อย. กับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แล็ปในการตรวจสอบไม่สามารถสุ่มตรวจผัก ผลไม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันการณ์ ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้จากแหล่งในประเทศ และตามด่านที่มีการนำเข้าผัก ผลไม้จากต่างประเทศ

หากประเทศไทยต้องการลดอัตรา “การตายผ่อนส่ง” จากพิษของสารเคมีปนเปื้อนผัก ผลไม้เกินค่ามาตรฐาน ต้องเอาจริงเอาจัง เคร่งครัดกับมาตรการเฝ้าระวัง # อาหารปลอดภัย ให้มีเอกภาพ อย่างเป็นระบบครบวงจร และควรให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวสร้างกลไกเฝ้าระวัง อาหารปลอดภ้ยกับเครือข่ายภาคประชาชนและสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค ก็จะทำให้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยพรรคไทยสร้างไทยจะติดตามเรื่องนี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด

Written By
More from pp
MCOT ผนึกกำลัง AWS ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ชูนวัตกรรม Vending Machine เสริมแกร่ง ดันเป้าธุรกิจเติบโตร่วมกัน
นาย กิตติพงษ์ ขันติรัตน์ รักษาการ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานกิจการพิเศษ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ กับ...
Read More
0 replies on ““ไทยสร้างไทย” แนะ จัดงบ 68 หยุดยืมจมูกต่างชาติหายใจ หันอุดหนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของเราเอง พร้อมสร้างแต้มต่อให้คนไทยสามารถแข่งกันกับต่างประเทศได้”