‘เศรษฐา’ ชื่นบาน – ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

ปากกล้าขาสั่น

อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้แค่ ๑๘ วัน ยื่นใบลาออกไปซะแล้ว

ครับ…การตั้งทนายถุงขนมเป็นรัฐมนตรี สุดท้ายแล้วต้องตัดแขนเพื่อรักษาชีวิต

แต่จะรักษาชีวิตได้หรือเปล่า อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ

เพราะ ความผิดสำเร็จไปแล้ว

ช่วงสายๆ วานนี้ (๒๑ พฤษภาคม) “พิชิต ชื่นบาน” ให้สัมภาษณ์ไว้เสียใหญ่โต ฟังแล้ว รู้สึกเสียวสันหลังแทน

“…คำตอบของการแก้วงจรอุบาทว์ คุณไปคิดกันมาเลยใครก็ได้ หากผมลาออกแล้วทุกอย่างจบ ผมจะทำให้พี่น้องทั้งประเทศ

ผมพูดกลางแดดต่อหน้าพระสยามเทวาธิราช ในองคาพยพของกระบวนการยุติธรรม และองคาพยพอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวงไปคิดมา โจทย์ที่เกิดวงจรอุบาทว์อย่างนี้ หากนายพิชิตลาออกแล้วจบปัญหา พร้อมลาออกทุกเมื่อ…”

“…ประเด็นในศาลฎีกาไปดูเถิด ถ้ามีตรงไหนระบุว่าผมไปหิ้วถุงเงิน ๒ ล้าน ผมลาออกวันนี้เลยไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

คนที่ว่ากล่าวผมว่าทนายถุงเงิน ๒ ล้าน พูดกันอย่างคนไร้สติ ไม่มีเหตุมีผล

ในประเทศไทยใช้ระบบประมวลกฎหมาย ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีอำนาจ ก็ไม่มีอำนาจ…”

ตกบ่ายแก่ๆ “พิชิต” ไขก๊อกเรียบร้อย

เหตุผลลาออกเพราะ ไม่อยากให้กระทบไปถึงตัวนายกฯ เศรษฐา

ส่วนตัวเองหลังจากนี้บอกว่าจะไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสืบต่อไปจนชีวิตจะหาไม่

สรุปคือไม่ได้ออกเพราะได้คำตอบการแก้วงจรอุบาทว์

หรือเรื่องถุงขนมอะไรนั่น

หากแต่ ต้องเสียสละลาออกให้นายกฯ เศรษฐาแก้ปัญหา ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจ สังคม ต่อไป

แต่ “ถุงขนม” มีเรื่องต้องขยายความกันเพิ่มเติม เพราะ “พิชิต” บอกว่าไม่ได้หิ้วถุงเงิน ๒ ล้าน พวกที่โจมตี ไร้สติ ไม่มีเหตุผล

เรื่องนี้พิสูจน์ไม่ยากครับ

“พิชิต” ไม่ได้ถือถุงขนม ๒ ล้านจริงตามที่กล่าวอ้าง แต่ทีมทนายที่ไปด้วยกันเป็นคนถือ ซึ่งรายละเอียดปรากฏในคำสั่งศาลฎีกา คดีละเมิดอำนาจศาล

คดีนี้ “พิชิต หรือพิชิฏ ชื่นบาน” เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ นางสาวศุภศรี ศรีสวัสดิ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ และนายธนา ตันศิริ ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓

คำสั่งศาลปรากฏดังนี้….

“…จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า ก่อนที่ พันตำรวจโททักษิณ จะเดินทางมาถึงแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา มีคณะทนายความของพันตำรวจโททักษิณ มาเตรียมคดี และเสมียนทนายได้มาพบ หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ชมพูนท เจ้าหน้าที่ในแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา แจ้งว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความต้องการพบ เมื่อ หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ไปพบ ได้มีนายธนา ตันศิริ ซึ่งเป็นผู้ติดตามคณะทนายความ ส่งถุงกระดาษให้และพูดว่า เจ้าหน้าที่เหนื่อย จึงซื้อของมาฝากให้ไปแบ่งกัน…”

“…ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมรู้เห็นหรือให้ความร่วมมือในการกระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ หรือไม่

ในปัญหานี้ได้ความจากหม่อมหลวงฐิติพงศ์ ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ เป็นทนายความให้แก่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ ตามลำดับ ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๐ โดยมีผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ เป็นเสมียนทนายและเป็นเลขานุการส่วนตัวของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และที่ ๓ เป็นผู้ติดตามพันตำรวจโททักษิณ

ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะมาศาลกับพันตำรวจโททักษิณ และคุณหญิงพจมาน ทุกครั้ง ซึ่งข้อเท็จจริงส่วนนี้ ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม ก็นำสืบเจือสมกับพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ เป็นผู้ประสานงานระหว่างพันตำรวจโททักษิณและคุณหญิงพจมาน กับฝ่ายทนายความซึ่งคือ ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และ ๒ กับเจ้าหน้าที่ศาล

ทั้งข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามก็ปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามมีการพูดคุยและประสานงานกันตลอดเวลาขณะอยู่ที่ศาลฎีกา การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ เกี่ยวกับคดีจึงอยู่ในความรู้เห็นของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และ ๒ ด้วย ถือได้ว่าเป็นคณะทำงานเดียวกัน

ดังจะเห็นได้จากผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ สั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ไปตามหม่อมหลวงฐิติพงศ์ ไปพบที่ห้องพักทนายความ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ห่างไปเพียง ๑ วา ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และที่ ๒ ต่างก็เห็นหม่อมหลวงฐิติพงศ์ เดินถือถุงกระดาษออกมาจากห้อง วิสัยของคนที่ทำงานร่วมกันใกล้ชิดเช่นผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม ย่อมต้องถามไถ่หรือบอกกล่าวให้รู้กันว่า จะนำช็อกโกแลตมาให้เจ้าหน้าที่ศาลโดยไม่จำต้องปิดบัง ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ เป็นหัวหน้าคณะทนายความของพันตำรวจโททักษิณ และคุณหญิงพจมาน

การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรงซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รูปคดีของพันตำรวจโททักษิณและคุณหญิงพจมาน แล้ว ยังเป็นเรื่องกระทบกระเทือนต่อวิชาชีพของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ เองด้วย

แทนที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ จะซักไซ้ไล่เลียงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนแล้วดำเนินการแก้ไขนำสิ่งของที่ถูกต้องมามอบให้หรือนำถุงทั้งสองใบไปแสดงในทันทีหรือ ตำหนิผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ก็หาได้กระทำไม่ ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ กลับโทรศัพท์ไปขอโทษและปรับความเข้าใจกับหม่อมหลวงฐิติพงศ์ ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ร้องขอ พร้อมทั้งสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ดังแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ในลักษณะเป็นตัวการร่วมกัน

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ แม้ขณะเกิดเหตุเป็นเพียงเสมียนทนายแต่ก็เป็นทนายความในสำนักงานของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ มาก่อน ทั้งยังเป็นผู้ประสานงานให้หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ไปพบกับผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ และเมื่อผู้กล่าวหาสั่งให้คืนถุงบรรจุเงินให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ก็ยังไปเรียกผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ มารับถุงคืน

นอกจากนี้ ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ยังรออยู่ที่บริเวณเคาน์เตอร์แผนกรับฟ้องและห้องพักทนายความที่เกิดเหตุตลอดเวลา ลักษณะของการกระทำดังกล่าวถือได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามดังกล่าว จึงเป็นการร่วมกันและแบ่งหน้าที่กันทำ ฟังได้ว่าเป็นตัวการร่วมกัน…”

สรุปภาษาชาวบ้านคือ ทำงานเป็นทีม

แม้ “พิชิต” จะไม่ได้เป็นผู้ถือถุงขนมในศาลด้วยตัวเอง แต่มีส่วนรู้เห็น

ถ้าคนที่พูดถึงถุงขนม ๒ ล้านไร้สติ

ศาลก็คงไร้สติด้วย

Written By
More from pp
“ชวน” เตือนสติรัฐบาล “ยึดมั่นคำถวายสัตย์ปฏิญาณ” บริหารบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ
13 กันยายน 2567 เวลา 13.50 น. ที่อาคารรัฐสภา นายชวน หลีกภัย สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาลในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาว่า...
Read More
0 replies on “‘เศรษฐา’ ชื่นบาน – ผักกาดหอม”