เปลว สีเงิน
นายกฯ เศรษฐาเป็นคนมีบุญ
แต่ไม่มี “วุฒิภาวะผู้นำ”!
ผู้ที่ได้รับผลจากการกระทำของผู้นำประเทศที่ไร้วุฒิภาวะ
คือ “คน ๗๐ ล้าน” ที่เรียก “ประชาชนคนไทย”
อาจมีคนต่อว่า…
“เพราะผมไม่ชอบเขา จึงหาเหตุว่าเขาไปทุกเรื่องอย่างนั้นใช่ไหม?”
ก็ไม่รู้สินะ ..แต่ อ่านนี่…..
วันขึ้นศักราชใหม่ “พ.ศ.๒๕๖๗” นายกฯ เศรษฐาออกโทรทัศน์ อวยพรคนทั้งประเทศ เริ่มต้นด้วยพรสำราก ว่า
“พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน….
ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๖ ที่ผ่านมาเป็นปีที่ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคม เตรียมตัวที่จะก้าวเข้าสู่ยุค
เพื่อชดเชย ๙ ปี ที่ประเทศไทยเราสูญเสียโอกาสไปหลากหลายอย่าง….”
ก็รู้…เขาร่างมาให้อ่าน
แต่กะโหลกนายกฯ ไม่ใช่ที่เขี่ยบุหรี่มิใช่หรือ?
ฉะนั้น ต้องแยกแยะได้ จิตขุ่นคลั่กด้วยริษยา นั่นเรื่องของคุณ แต่เรื่องกาละ เป็นเรื่องวุฒิภาวะ “คนเป็นผู้นำ”
ว่ากาลไหน จะใช้ริษยาวาจา และกาลไหน ต้องใช้ปิยวาจา
ในฐานะนายกฯ อวยพรปีใหม่ประชาชนในวันขึ้นปีใหม่ อดใจเรื่องริษยาไว้ซักครั้ง แล้วพูดจาภาษาดอกไม้ซักวัน มันจะตายหรือ?
ทำไม…
พลเอกประยุทธ์ ทำให้เพื่อไทยอดอยากปากแห้ง ๙ ปี มันแค้นแน่นอกนัก ต้องพาลแขวะมันทุกครั้ง อย่างนั้นหรือ?
ในคุณสมบัติความเป็นมนุษย์
“มนุษย์” รากศัพท์มาจาก “มนะ” คือ “ใจ”
“ใจที่ฝึกแล้วประเสริฐ” สัตว์ประเภทนั้น จึงขึ้นสู่ภาวะที่เรียกว่า “สัตว์มนุษย์”
สิ่งที่รัฐบาลประยุทธ์ ใช้เวลา ๙ ปี วางรากฐานสังคมประเทศไว้ให้หลายอย่าง ถึงไม่ครบถ้วน-สมบูรณ์ทุกอย่าง
แต่มาตรฐานประเทศและสถานะ “การเงิน-การคลัง” ที่เสถียรเป็นทุนให้รัฐบาลที่หาเงินเข้าประเทศไม่ได้ซักบาท มีผลาญทุกวันนี้
ไม่เป็นคุณให้สำนึก ก็ไม่มีใครว่า
แต่การ พูดจา “บิดเบือน-ใส่ร้าย” จากสิ่งดีให้เป็นสิ่งเลว ในความเป็นมนุษย์ เขาเรียกการกระทำนั้นว่า
“เนรคุณ”!
“เศรษฐา-เพื่อไทย” จะว่าไป พอยกให้อยู่ในระดับ “บัวปริ่มน้ำ” ได้อยู่
แต่ด้าน “ริษยา-อาฆาต-ใฝ่ต่ำ” การแสดงออก ดูจะลัทธิ-นิกายเดียวกับ “ก้าวไกล”
เพื่อไทยบอก เป็นพรรค “คิดใหญ่-ทำเป็น”
เอาเข้าจริง “คิดตามนายใหญ่ ทำอะไรเองไม่เป็น”
“ก้าวไกล” บอก เป็นพรรค “ก้าวหน้า”
แต่พูดจาถอยหลัง ด้วยจิตริษยาอาฆาต ตั้งบทเจิมด้วยคำว่า “๙ ปีที่ล้มเหลว” ไม่ต่างตั้ง “นะโม” ก่อนสวด ทุกครั้งไป!
นี่ แค่วุฒิภาวะปีใหม่ ” ๑ มกรา.๖๗” ของนายกฯ เศรษฐา
พอวันที่ ๒ มกรา.
ไม่ต่างโฆษกรถขายยาเร่ตามหมู่บ้าน จับไมค์จ้อ
“ประเทศไทยและประเทศจีนมีข้อตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างกันอย่างถาวร ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนา.๕๖ เป็นต้นไป”
ยอมรับ “เป็นเรื่องดี”
แต่เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องของเราด้านเดียว มันเป็นด้านของจีนเขาด้วย และเราต้องประมาณตนด้วยว่า
ระหว่าง “เขา-กับเรา”
เราน่ะ ต้องการอยู่แล้ว แต่เขา…เป็นประเทศใหญ่ มีข้อปลีกย่อยที่ต้องคำนึงก่อนตัดสินใจมากด้านกว่าเรา
ดังนั้น การ “เปิดประเด็น” น่าจะให้ทางจีนเขาเปิดหรือส่งสัญญานให้เราก่อน แล้วค่อยเปิด
แต่นี่ อยาก “ได้หน้า-ได้ตา” ทั้งที่บนเวทีโลก เขารู้กันทั้งโลกว่า เศรษฐา…แค่นอมินี “นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ”
กลับทำโอ่อ่า รีบออกข่าว จีนฟรีวีซ่าเข้าประเทศให้ไทย
แล้วเป็นไง….
คำคุยเศรษฐา แพร่กระจายเป็นข่าวใหญ่ในจีน
๓ มกรา.๖๗ “โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน” แถลง
“ฟรีวีซ่าให้คนไทยยังอยู่ในขั้นหารือ….
ไม่คอนเฟิร์มว่า จะทัน ๑ มีนา.๖๗ ตามที่นายกฯ เศรษฐาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๒ มกรา.หรือไม่?”
หน้าแหกไป เรื่อง “ระหว่างประเทศ” นี่ ถ้าสังเกต จะเห็นว่าจีนจะระมัด-ระวัง ประหยัดถ้อยคำและเคร่งครัดในกรอบมรรยาทมาก
เมื่อทางจีนบรรจงแนบห้านิ้วที่แก้มนายกฯ ไทยเบาๆ แทนที่จะรู้สึกตัว เศรษฐากลับบอกนักข่าวที่ไปขอคำชี้แจง เมื่อวาน ว่า
“เราคงไม่มีอะไรชี้แจงเพิ่มเติม เราพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ จะบินไปเซ็นเอ็มโอยู
จึงขอให้มั่นใจได้ว่า วันที่ ๑ มีนา.๖๗ จะมีการยกเว้นวีซ่าถาวรของทั้งสองประเทศ
ความจริงแล้ว เรามีการทำงานกันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ทำมาตั้งแต่สมัยก่อน…”
อ้าว…นายกฯ เศรษฐา “มีการทำงานกันมาแล้ว” กับอดีตนายกฯ “นส.ยิ่งลักษณ์” ตั้งแต่ตอนไหนล่ะเนี่ย ว้าวุ่นเลย…ตู?!
ไม่เถียงประเด็น ๑ มีนา.จีนอาจยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศให้ไทย
แต่มันใช่มั้ย ที่ “ผู้รับ” เที่ยวโพนทนาไปก่อน ในขณะที่ “ผู้ให้” เขายังไม่พร้อม และถ้าให้ ในความเป็นมหาอำนาจที่มากมิตร-มากประเทศ
เขาต้องพิจารณา ให้ประเทศเดียวก็กระไรอยู่ ฉะนั้น เขาก็ต้องพิจารณา มีประเทศไหนบ้างที่จะให้ แล้วประกาศพร้อมกันไปทีเดียว
อย่าง พฤศจิกา.๖๖ ไทยฟรีวีซ่าให้จีน แต่บังเอิญสื่อไทย “เงินรัฐ” ไปทำหมั่นไส้เรื่องไต้หวัน
จีนประกาศฟรีวีซ่าให้ ๕ ประเทศ มี ฝรั่งเศส ,เยอรมนี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, สเปน และมาเลเซีย
แต่ไม่มี “ไทย”!?
ถ้าเศรษฐาคิดจะเป็นนายกฯ ต่อละก็ ควรศึกษามรรยาทการเมืองระหว่างประเทศและมรรยาททางการทูตให้มากกว่าศึกษาวิชา “ขายของหน้าร้าน”
เราไปออกข่าว “ล้ำเส้น” เขา ถ้าเราเป็นจีน เราก็ไม่ชอบใจ เพราะต้องเข้าใจ เรื่องฟรีวีซ่าเข้าประเทศจีน เราเป็นฝ่ายต้องการและร้องขอเขา ไม่ใช่เขาต้องการ
ดังนั้น ต้องให้เกียรติจีนเขาพูดก่อน ไม่ใช่เรา..เหมือนเขายังไม่ทันตกปากรับคำยกลูกสาวให้
เราก็เที่ยวแจกการ์ด กำหนดวันแต่ง ว่าที่พ่อตาไม่แพ่นกบาลให้ก็บุญแล้ว!
นอกจากคุณสมบัติผู้นำและมรรยาท ไม่ใช่เจรจากับผู้นำเขาไป ตัวเองก็ดึงถุงเท้าไป ด้วยกลัวจะไม่มีช็อตเข้าตาสื่อนั่นแล้ว
นายกฯ เศรษฐา ยังควรเรียนรู้การให้เกียรติสถานที่และบุคคลอื่นด้วย
อย่างการแถลงพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๗ ในที่ประชุมสมาชิกสภาเมื่อวาน (๓ มค.๖๖)
“เศรษฐา” ในฐานะนายกรัฐมนตรี……
ชี้แจงหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.งบ ๖๗ ต่อสมาชิกสภา
ภาพที่ปรากฎ มือซ้ายถือแฟ้มยืนอ่านเป็นการแถลง ส่วนมือขวา ถือแก้วโอเลี้ยง อ่านไป-ดูดโอเลี้ยงไป ฟินเวอร์ ยังกะอ่านปกขาว!
อ่านน่ะ ไม่ว่าหรอก แต่การซดโอเลี้ยงไปชนิดไม่แคร์เวิลด์นั้น มันน่าเกลียด
ให้ภาพ “ไม่จริงใจ” สักแต่ว่าอ่านๆ ไป ไม่ให้เกียรติทั้งสถานที่ ทั้งสมาชิกสภาที่นั่งอยู่ในห้องประชุม
แต่ต้องชมนิด……
ที่ยังไม่ยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดหลังโต๊ะด้วย!
เมื่อวาน ผมมัวแต่ไปอ้าปากให้หมอซ่อมฟัน เลยไม่ได้ฟังอภิปรายเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ทันได้ฟังอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” อภิปรายงบกระทรวงยุติธรรม ท่อนหนึ่งว่า
“…………….งบประมาณของกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้งบประมาณ ๑๔,๙๗๒ ล้านบาท
งบก้อนนี้เอาไปทำโครงการสำคัญที่สุดคือ “โครงการผู้ต้องขังได้รับการคุมดูแล” ระยะเวลาทำโครงการ ๖ ปี
วัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อยกระดับดูแลผู้ต้องขังให้เป็นไปตาม “มาตรฐานสากลหลักสิทธิมนุษยชน” โปร่งใส
ผมสนับสนุนงบประมาณก้อนนี้ เพื่อให้รัฐบาลได้ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
แต่ผมมี ๒ คำถาม คือ
๑.รัฐบาลในฐานะผู้ใช้งบปี ๖๖ และกำลังของบปี ๖๗ ได้บริหารโครงการอย่างโปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติกับผู้ต้องขัง ๒๘๐,๐๐๐ คนแล้วหรือยัง
เพราะมีข้อเคลือบแคลงจากสังคม…
“ทำไมรัฐบาลปล่อยให้นักโทษบางคนเข้าคุกทิพย์มากว่า ๑๒๐ วัน แต่ยังไม่เคยติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว?”
มีคำถามว่า
๑.ทำไมนายกฯและรมว.กระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้ร่วมบริหารโครงการเหล่านี้ ไม่ทำข้อเคลือบแคลงสงสัยที่เอ่ยมาให้กระจ่าง?
๒.การใช้งบประมาณของกรมราชทัณฑ์ไปออกระเบียบ ๖/๑๒/๖๖ หรือระเบียบว่าด้วยการดำเนินสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.๒๕๖๖
อ้างว่าทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
เรื่องนี้ การใช้งบอาจจะส่อไปในทางไม่ชอบหรือไม่ ซึ่งระเบียบนี้ กลายเป็นระเบียบ “ศรีธนญชัย”
แทนที่จะแยกผู้ต้องขัง “ผู้บริสุทธิ์” ออกจาก “นักโทษเด็ดขาด” กลับไปแยก “ผู้ต้องขังเด็ดขาด” ออกเป็น “๒ มาตรฐาน” คือ มาตรฐาน ที่ ๑ ติดคุกที่เรือนจำ และ
๒.ติดคุกที่บ้านได้
จนมีเสียงวิจารณ์ว่า อาจทำให้คำพิพากษาของศาลไม่มีความหมาย และนักโทษบางคนไปติดคุกเสวยสุขที่บ้านได้ กลายเป็น “นักโทษเทวดา”
แบบนี้ ยิ่งจะเป็นการตอกย้ำฉายา “เซลแมนสแตนด์ชิน” ของนายกฯ ให้กลายเป็นผลงาน “ชิ้นโบว์ดำ” ประทับติดตัวนายกฯ ตลอดไป”
ทองแท้ ต้อง “ตั้งโต๊ะกัง” ค้านแท้ ก็ต้อง “ประชาธิปัตย์”
Old soldiers never die. ฉันใด
Old Democrat Party never die. ก็ฉันนั้น!
เปลว สีเงิน
๔ มกราคม ๒๕๖๗