เปลว สีเงิน
ก็บ้าดีนะ..เมืองไทยนี่
เถียงกันจนไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาเถียง ก็หันมาเถียงกันว่า เศรษฐกิจประเทศวิกฤตแล้วหรือยังไม่วิกฤต?
ตอนนายกฯ ไปชวนนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในไทย ก็บอกเขาว่า….
“ประเทศไทยเศรษฐกิจดี”
ครั้นจะกู้ ๕ แสนล้านไปแจกชาวบ้านตามสัญญาหาเสียง ก็บอกว่า “เศรษฐกิจไม่ดี” เข้าขั้นวิกฤต
ต้องแจกคนละ ๑ หมื่นบาท
“กระตุ้นเศรษฐกิจ”!?
สรุปแล้ว รัฐบาลเศรษฐา “๒ มาตรฐาน” ทุกเรื่อง
กับ “นักโทษชายทักษิณ” ติดคุกแล้วไม่ต้องเข้าคุกได้ นี่ก็เท่ากับ ๒ มาตรฐาน “รัฐบาลละเว้นการปฎิบัติหน้าที่” ให้เป็นไปตามกฎหมาย ด้วย “รู้เห็นเป็นใจ”
แบบนี้ ถ้าผมเป็น “แป้ง นาโหนด” ไม่หนีให้เมื่อยตุ้มหรอก
นั่งฮ.มาพบนายกฯ เศรษฐาที่ทำเนียบเลย
ร้องขอความเป็นนักโทษ “มาตรฐานเดียว” กับทักษิณบ้าง ถ้าทักษิณไม่ต้องเข้าคุกได้ แป้ง นาโหนด ก็ไม่ต้องเข้าคุกได้
ถ้ายังให้ตำรวจไล่ตามดมขี้ในป่าต่อไป จะไปร้อง UN ว่า รัฐบาลเศรษฐา “ละเมิดสิทธิความเป็นนักโทษที่เท่าเทียมกัน”
โดยรัฐบาลเศรษฐา “เลือกปฎิบัติ” ขัดกับหลัก “ความเสมอภาค” ทางกฎหมาย
ถ้าตำรวจจับ ฟ้องตำรวจ ถ้าราชทัณฑ์นำตัวเข้าคุก ฟ้องราชทัณฑ์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
“ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
อ้างอิง “แนวปฎิบัติรัฐบาล” ที่มีต่อนักโทษทักษิณเป็น “ต้นแบบ”
ถ้าแป้ง นาโหนด ไม่ได้ความเท่าเทียมสนองตอบก็ชัดว่า
เจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงาน ทั้งฝ่ายปฎิบัติและฝ่ายบริหาร คือรัฐบาล ร่วมมือกัน
“ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต” ในกรณีทักษิณ!
อยากรำพึง-รำพัน เป็นการอำลา “หน้าหนาว” แป๊บเดียวว่า
กับคนๆ เดียว บังเอิญชื่อ “ทักษิณ” เป็นเจ้าของคอกเพื่อไทย แล้ว “รัฐบาลเพื่อไทย”…
ยอมให้ทักษิณเป็น “นักโทษเหนืออำนาจรัฐ” เช่นนี้
เท่ากับ ไทยเสีย “บูรณภาพทางกฎหมาย” ให้กับคนๆ เดียวไปแล้ว โดยไม่ต้องรอให้ “ตำรวจจีน” สวมเครื่องแบบมาเดินลาดตระเวน
ต่อจากนี้ไป “กฎหมายไทย” เมื่อ “ไร้อำนาจบังคับใช้”
ก็ไม่ต่างกฎหมาย “เมืองโกก้าง” ในรัฐฉาน ที่สู้รบชิงเมืองหลวงคือ “เล่าก์ก่าย” กันอยู่ขณะนี้
“เล่าก์ก่าย” เป็นเมืองเถื่อน ศูนย์รวมแหล่งผิดกฎหมาย อยู่ใต้อิทธิพลจีนเทา ๒-๓ กลุ่ม
“ความพอใจ-ไม่พอใจ” กลุ่มจีนเทาคือ “กฎหมาย” ของเมืองนี้!
“นายกฯเศรษฐา” จะบริหารประเทศไทยให้มีสภาพเหมือนเมืองเล่าก์ก่าย “ความพอใจ-ไม่พอใจ” ของทักษิณ-เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง หัวหน้าเพื่อไทย คือ “กฎหมาย”
ถ้าต้องการอย่างนั้น ขอเชิญตามสบายเลย ไม่มีใครออกมาขัดขวางแน่นอน
เพราะการเป็น “พลเมืองดีเพื่อชาติ” ต้องนอนคุก ส่วนการเป็นพลเมือง “โกงบ้าน-กินเมือง” ได้นอนชั้น ๑๔
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนทำเพื่อชาติบ้านเมือง ตอนนี้ เขาจึงหลีกทางให้ ๓ สถาบันอำนาจ คือ “อำนาจบริหาร-อำนาจนิติบัญญัติ-อำนาจตุลาการ”
ให้แต่ละสถาบันอำนาจ…….
ได้ทำหน้าที่พิทักษ์รักษากฎกติกาชาติบ้านเมืองได้เคร่งครัด มีประสิทธิ-ประสิทธิผล โดยไม่มีคนออกมาทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ให้เกะกะอำนาจอีก
หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ที่ ๕๐ นั้น “พอกันที” หรือไม่ก็ “พักไว้ก่อน”
เพราะไปทำหน้าที่แล้ว รางวัลตอบแทนตามตัวหนังสือที่เรียกกฎหมายที่แต่ละคนได้รับ คือ “คุก”
ส่วนเจตนาดี-ร้าย “ในการกระทำ” ไม่มีผลทางรับฟัง!
ก็ต้องบอกว่า “รัฐบาลเศรษฐา” โชคดี
ไม่ใช่เพราะ “คนเอาธุระกับบ้านเมือง” เหนื่อยล้า
หากแต่เขา “เหนื่อยหน่าย” กันมากกว่า
ดังนั้น นายกฯ เศรษฐาเอาให้เต็มที่ ถึงยุคที่คนเขาทอดธุระ บอกกันว่า “บ้านเมืองไม่ใช่ของกูคนเดียว” กันแล้ว
“แบกชาติ” ไม่หนัก
“แบกความเป็นธรรม-แบกยุติธรรม” หนักและเหนื่อย (ชิบห่ะ…)!
มาคุย ๒ มาตรฐานด้านเศรษฐกิจประเทศบ้าง
ก็อย่างที่บอก เวลาไปคุยชาวโลก-ชาวเมือง…ประเทศไทยสถานะการเงินแข็งแกร่ง
มีทุนสำรองระหว่างประเทศมากเป็นอันดับ ๑๒ ของโลก มีทองคำมากอันดับ ๒ ในเอเชีย รองจากจีนประเทศเดียวเท่านั้น
ฐาน GDP เทียบกับประเทศกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ไทยเป็นรองแค่อินโดฯเท่านั้น ซึ่งเขามีประชากรและทรัพยากรมากกว่าเรา
และ GDP รายได้ต่อรายหัว ที่เรียก GDP per Capita ไทยเราอยู่ในอันดับ ๔ ถึงแม้ถูกโควิดถล่มซะ ๒-๓ ปี ติดก็ตาม
ฉะนั้น การจะเอาแค่ตัวเลข GDP ของใครสูง-ของใครต่ำ มาสรุป “ใครเติบโตมาก-น้อยกว่ากัน…วิกฤต-ไม่วิกฤต” โดยใช้ตัวเลข GDP เป็นเกณฑ์
มันไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก ต้องดูฐาน GDP ตลาด แต่ละประเทศและจำนวนประชากรด้วย
สมมติไทยโต ๒% เวียดนามโต ๗%
เห็นตัวเลข จะพูดทันทีว่า..โอ้โฮ เวียดนามโตกว่าไทย แบบนี้ อีกปี-สองปี เวียดนามแซงไทยแน่
ถ้าไปดูฐานประชากร ไทยตีซะ ๗๐ ล้านคน เวียดนามมี ๙๙ ล้านคน เรียกว่าเขามีกำลังคนมากกว่าเรา
ไปดูฐาน GDP ตลาด ไทยโต ๒% แต่ผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงถึง ๕๓๔,๗๕๘ ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วนเวียดนามที่โต ๗% ฐาน GDP ตลาด เขามีแค่ ๓๗๓,๗๙๕ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งน้อยกว่าไทย
ดังนั้น การหยิบแต่ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ไปสรุป “ใครโตกว่าใคร” นั้น เหมือนพูดว่า ไทยโพสต์โต ๑๐% แต่แสนสิริโต ๕% แล้วบอกว่า ไทยโพสต์โตกว่าแสนสิริ มันไม่ใช่
ถ้าใช่ มันต้องเทียบบน “ฐานเศรษฐกิจ” ไม่ใช่สรุปจากตัวเลข GDP โดดๆ
สมมติ ๑๐%ไทยโพสต์ จากฐาน ๑๐๐ บาท
โต ๑๐% ก็แค่ ๑๐ บาท
แต่ ๕% ของแสนสิริ มาจากฐาน ๑,๐๐๐ บาท
๕% ของ ๑,๐๐๐ บาท ก็ตั้ง ๕๐ บาท
ก็จะเห็นว่า โต ๕% จากฐาน ๑,๐๐๐ บาท มันก็ยังมากกว่า โต ๑๐% จากฐาน ๑๐๐ บาท
ฉะนั้น ที่สภาพัฒน์ฯแถลงว่า GDP ไตรมาส ๓/๒๕๖๖ โตแค่ ๑.๕ % แล้วสรุปกันไปต่างๆ นานา นั้น มันทั้งใช่และไม่ใช่
ที่นายกฯ ไปชวนต่างชาติมาลงทุน โดยบอกว่าเศรษฐกิจไทยดี นั่นก็ไม่ผิด
เพราะขนาดวิกฤตด้วยโควิดหลายปี ไทยโตแค่ปีละ ๒% แต่ด้วย GDP ตลาดที่สูง ๒% นั้น ยังมีมูลค่ามากกว่าหลายๆประเทศที่ว่าโต ๕-๗% ซะอีก
เพราะ “ฐานธุรกิจ” ของเราใหญ่กว่าของเขานั้นแหละ!
ดังนั้น จะคุยว่า “ไทยเศรษฐกิจดี” ตามฐานานุรูปของตัวเองก็ไม่ผิด
แต่ครั้นจะหาเหตุ “กู้เงินมาแจก” เซ่นสัญญาหาสียง ๕ แสนล้านบาท
เศรษฐาก็ต้องตีขลุมตามตัวเลขสภาพัฒน์ฯที่บอก “จีดีพีไตรมาส ๓ โตแค่ ๑.๕%” ว่า “เศรษฐกิจวิกฤต”
สนับสนุนการที่ต้องกู้มาทำ “ดิจิทัล โทเคน” แจกคนรวม ๕๐ ล้านคน คนละ ๑,๐๐๐ บาท
เพื่อให้เอา “ดิจิทัล โทเคน” นั้นไปแลกซื้อสินค้า “บางชนิด” ได้ภายใน ๖ เดือน
นี่เป็น ” ๒ มาตรฐาน” และ “๒ อารมณ์” ของรัฐบาลเพื่อไทยในกรณี “เศรษฐกิจวิกฤต” และ “ไม่วิกฤต” ของไทยตอนนี้
“ไม่ผิด-ไม่ถูก”
แต่จะ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” นั่นแต่ละฐานมอง-ฐานคิด ขึ้นอยู่แต่ว่า แต่ละคน-แต่ละรัฐบาล จะใช้ตัวเลขนั้นๆ ไปตอบสนองด้านไหน
อย่างเศรษฐา ไปชวนนักลงทุน ก็ต้องตีหน้าสด หยิบตัวเลขด้านบวกไปสร้างความมั่นใจ เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามา
ครั้นจะใช้สถานะรัฐบาล เอาเงินซัก ๕ แสนล้านบาทมา “เล่นแร่-แปรธาตุ”
ก็ต้องซ่อนกระหยิ่มไว้ใต้ใบหน้าเครียด บอก “เศรษฐกิจวิกฤต” มันต้องกระตุ้น!
จะว่าไปแล้ว “เพื่อไทย” เล่นกลเปลี่ยนหน้ากากคือ “๒ หน้า ๒ มาตรฐาน” มาตลอด ทุกคนก็รู้-ดูก็ออก
ว่า “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” ไม่ตางกันซักเท่าไหร่ ในด้านพูดจาเชื่อถือได้ยาก
แล้วดูเถอะ ลงท้าย พวกเล่นกลเปลี่ยนหน้ากาก ก็ต้องไปอยู่รวมกัน ไม่ต่าง “น้ำ” กับ “น้ำมัน” ไม่มีทางผสมเข้ากันได้
แต่ในยามสังคมประชาธิปไตย “จนตรอก”
ก็ไม่ต่างสังคมมนุษย์ตอนนี้ รู้ทั้งรู้ ว่าน้ำกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่ญี่ปุ่นปล่อยลงทะเลเมื่อต้นปี
“กัมมันตรังสี” นั้น……
มันไม่มีทางละลายหายไปได้ ฉะนั้น กุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์ทะเล ที่เรียก “อาหารญี่ปุ่น” ที่กินกันตอนนี้
มันหนีการ “เติมสารกัมมันตรังสี” เข้าสะสมในร่างกายผ่านแต่ละการคีบเข้าปากแต่ละคำไปไม่ได้
รู้ทั้งรู้ แต่นักนิยม “ปลาดิบ-หอยดิบ-กุ้งดิบ” จากญี่ปุ่น ก็ยังยินดีเปิบ เพราะไม่มีตัวเลือก
ก็กินกันไปเหอะ กว่ามันจะออกดอก-ออกผลให้รู้ว่ามันจะเป็นยังไง ก็โน่น ๕ ปี ๑๐ ปีข้างหน้า แล้วค่อยไป(ต่อ)ว่ากัน!
สรุปแล้ว “เศรษฐา-เพื่อไทย” กับ “พิธา-ก้าวไกล” เหมือนกันในด้านว่า ตื่นเช้าขึ้นมา จะมีคนถาม.. “วันนี้โกหกอะไร?”
เพราะที่พูดกับที่ทำ ตั้งแต่หาเสียงยันได้เป็นรัฐบาล ไม่มี “ทำไหน” ตรงกับ “คำที่พูด” ไว้เลย!!!
กรณี “๒ มาตรฐาน” กับทักษิณ
“เรื่องเดียว” มันก็ทำลายเครดิตรัฐบาล “เศรษฐา-เพื่อไทย” ไปจนหมดสิ้นแล้ว
เมื่อคุณเป็นนายกฯ แล้วเอาอำนาจผู้นำประเทศไปเป็นเครื่องบัดพลีสังเวย “โจรแผ่นดิน” คาตา
แล้วมันเหลืออะไรให้เชื่อว่า…..
“เศรษฐา” จะยังเห็นประโยชน์ชาติเหนือประโยชน์ตนอยู่อีก?
เปลว สีเงิน
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๖